วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เตาฮีด สร้างความแตกแยก?


- เตาฮีด สร้างความแตกแยก?-
- เชค ศอลิหฺ เฟาซาน อัลเฟาซาน หะฟิศอฮุลลอฮฺ -

อะไรคือคำตักเตือนของท่าน สำหรับผู้ที่กล่าวว่า
อัตเตาฮีด ทำให้ ประชาชน แตกแยก และ เขากล่าวว่า เราทำให้รวมกันก่อน
หลังจากนั้นค่อยสอนความรู้ให้ผู้คน ???

นี่มาจาก ผู้ที่ตาบอดอย่างชัดเจน
เตาฮีด คือ สิ่งที่ทำให้ประชาชาตินั้นรวมเข้าด้วยกัน โอ้ พี่น้องของฉัน
ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้ประชาชาติรวมกันได้ เว้นแต่ ภายใต้ คำว่า
"ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮฺ"
ก่อนการมาของท่านรอซูล และ การดะอฺวะฮฺ ไปสู่ คำว่า
"ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮฺ" พวกเขาเป็นผู้ที่แตกแยกกัน และเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน
พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า
"ขณะที่พวกเจ้าเป็นศัตรูกัน แล้วพระองค์ได้ทรงทำให้หัวใจของพวกเจ้า
มีความสนิทสนมกันและพวกเจ้าก็กลายเป็นพี่น้องกันด้วยความเมตตาของพระองค์ "
(อาละอิมรอน:103)

ดังนั้นสิ่งซึ่งทำให้ประชาชาตินี้รวมกัน ก็คือ เตาฮีด
การอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว ไม่ตั้งภาคีต่อพระองค์

และ ชิริก(การตั้งภาคี)และ บิดอะฮฺ(อุตริกรรม) ต่างหากที่ ทำให้ประชาชาตินี้แตกแยก
และ มัซฮับแนวทางที่หลงผิด และมันฮัจญ์ ของ
การดะอฺวะฮฺต่างๆ ซึ่งพวกเขาได้ตั้งชื่อให้มัน
มันคือสิงที่ทำให้ประชาชาตินี้แตกแยกจากทางของอุมมะฮฺวาฮิดะฮฺ
(ประชาชาติหนึ่งเดียว)และมันฮัจญ์ที่เป็นหนึ่งเดียว

สิ่งซึ่งทำให้ประชาชาตินี้แตกแยก คือ ชิริก และการใช้สื่อต่างๆที่เป็นชิริก
และมันฮัจญ์ของพวกบิดอะฮฺ และ พวกอุตริกรรม ทั้งสองนั้น(ชิริกและบิดอะฮฺ)
สำหรับมันมี มันฮัจญ์ และเขาก็กล่าวว่า
เป็นมันฮัจญ์ ของการดะอฺวะฮฺ...!!!
มันฮัจญ์ขของการดะอฺวะฮฺ คือ มันฮัจญ์ ของท่านรอซูล ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
คือสิ่งซึ่ง ท่านต้องทำให้เขารักชอบมัน ไม่เว้นแต่ หัวหน้าของท่าน หรือ ผู้ติดตามของท่าน
* นะอัม

แปลโดย Alif Taopalee
พอข้อผิดพลาดแจ้งได้ที่ www.facebook.com/ALIFZA
-------------------------------------------------------------------------------------
ما نصيحتكم لمن يقول: إن التوحيد يفرِّقُ الأمة, ويقول نُجمِّع أولاً ثُمَّ نُعلِّمُ النَّاس؟


هذا من عمى البصيرة, التوحيد هو الذي يُجمِّعُ الأُمة يا أخي, ما اجتمعت الأمة إلا تحت " لا إله إلا الله ", و قبل مجيء الرسول والدعوة إلى "لا إله إلا الله", وهم متفرِّقون يتقاتلون ويتناحرون,
[وكنتُم أعداء فألَّف بين قُلُوبِكُم وأصبحْتُم بِنِعْمَتِهِ اخوانًا]
فالذي يجمع الأمة هو التوحيد, عبادة الله وحده لا شريك له,
والشرك والبدع تُفرِّقُ الأُمة, و المذاهب الباطلة و المناهج الدعوية اللي يسمُّونها, هي التي فرقت الأمة,
سبيل الأمة واحد ومنهجها واحد
الذي فرَّق الأمة هو الشرك, ووسائل الشرك والمناهج المُبتدعة والمُحدثة, كلاً يجعل لهُ منهج ويقول منهج الدعوة!!, منهج الدعوة هو منهج الرسول – صلى الله عليه وسلم -, مو هو الذي تحبه أنت وإلا رئيسك أو إلا متبوعك, نعم.

الشيخ الفوزان -حفظه الله-

อย่าเป็นผู้หยิ่งผยอง ยะโสโอหัง

- เชค อับดุลอะซีซ บิน บาซ รอฮิมะฮุลลอฮฺ -

ตัฟสีร พระดำรัสของอัลลอฮฺ ที่ว่า
"เมื่อพวกพ้องของเขากล่าวแก่เขาว่า”อย่าได้หยิ่งผยอง เพราะแท้จริงอัลลอฮ
ไม่ทรงโปรดบรรดาผู้หยิ่งผยอง” (อัล-เกาะศ็อศ:76)

อายะฮฺนี้ อยู่ในเรื่องเล่าของ กอรูน
(ผู้ที่หยิ่งผยองอวดความร่ำรวย และปฏิเสธการจ่ายซะกาต และใส่ร้ายท่านนบีมูซาว่าทำซินา จนนบีมูซา อลัยฮิสลาม ได้รู้ความจริงจึงได้ขอให้อัลลอฮฺทรงลงโทษเขาด้วยการให้แผ่นดิน
สูบเขา และ ทรัพย์สินของเขา-ผู้แปล)

"เมื่อพวกพ้องของเขากล่าวแก่เขาว่า”อย่าได้หยิ่งผยอง เพราะแท้จริงอัลลอฮไม่ทรงโปรดบรรดาผู้หยิ่งผยอง” (อัล-เกาะศ็อศ:76)

และจุดประสงค์ของอายะฮฺดังกล่าว คือ การหยิ่งผยอง ยโสโอหัง
ซึ่งมันเเป็นความโอ้อวดและการข่มเหงต่อผู้คน และความเป็นศัตรู และความหยิ่งยะโส
นี่คือ สิ่งที่ถูกห้ามจากมัน ความหยิ่งผยอง ความยะโส ความโอ้อวด
ส่วน ความปลื้มปิติ ด้วยกับการช่วยเหลือของอัลลอฮฺ และด้วยความเมตตา
และความโปรดปราน และความดีงามของพระองค์นั้น
คือ สิ่งที่เป็นบทบัญญัติ ดังที่ อัลลอฮฺได้ทรงตรัสไว้ว่า

"จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮ์ และด้วยความเมตตาของพระองค์ ดังกล่าวนั้นพวกเขาจงดีใจเถิด ซึ่งมันดียิ่งกว่าสิ่งที่พวกเขาสะสมไว้"(ยูนุส -58)

ดังนั้นผู้ศรัทธานั้นจะดีใจ ที่อัลลอฮฺได้ทรงประทานฮิดายะฮฺให้เขามาสู่ศาสนาอิสลาม
และแท้จริงอัลลอฮฺ ทรงช่วยเหลือเขาบนการละหมาดญะมาอะฮฺ
และแท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงช่วยเหลือเขาบนการทำดีต่อบุพการี
และ ความสัมพันธ์กับเครือญาติของเขา และช่วยเหลือเขา บน การทำความดี
นี่คือสิ่งที่เป็นบทบัญญัติ เป็นการสมควรสำหรับผู้ศรัทธาที่จะต้องดีใจ
ด้วยกับสิ่งดังกล่าว และยินดี ด้วยกับสิ่งดังกล่าว

ทว่าจำเป็นบนผู้ศรัทธา ที่จะดีใจด้วยกับสิ่งดังกล่าว และมีความสุขด้วยกับสิ่งนี้
และ สรรเสริญอัลลอฮฺ บนสิ่งดังกล่าว
ส่วนการดีใจ ที่ถูกตำหนิ คือ การดีใจซึ่ง มีความโอ้อวดและ ความโอหัง
และความยะโส และการเหยียดหยามผู้คน สิ่งนี้คือสิ่งที่ถูกตำหนิ
แปลโดย Alif Taopalee
พอข้อผิดพลาดแจ้งได้ที่ www.facebook.com/ALIFZA

การแสวงหาความรู้

- การแสวงหาความรู้ ทางชารีอะฮฺ -
-เชค อับดุลอะซีซ บิน บาซ รอฮิมะฮุลลอฮฺ-

ด้วยกับอะไรที่ นักศึกษาผู้แสวงหาความรู้ ชาย และ หญิง
ที่ให้พวกเขาได้หันไปหา เพื่อทำให้เพิ่มขึ้นจากความรู้ทางชะรีอะฮฺ ?

เราขอสั่งเสียงทั้งหมด ด้วยการเอาใจใส่ กับ การแสวงหาความรู้ทาง
ชะรีอะฮฺ , การทำความเข้าใจ ด้วยกับ อัลกุรอาน และ สุนนะฮฺ
และ การถาม จากสิ่งที่คลุมเคลือ และเมื่อ เขาเรียนรู้ เรื่องราวอื่นๆพร้อมกับสิ่งนี้
ในเรื่องราวต่างๆของโลกดุนยา ดังนั้น มันไม่เป็นไร(อนุญาต)
แต่ทว่า เขาต้องให้ความสำคัญ ในการทำความเข้าใจในเรื่องของศาสนา
ท่านนบีย์ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า
"ผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้เขาพบกับความดีงาม
พระองค์จะทรงทำให้เขาเข้าใจใน ศาสนา"
และท่านรอซูล ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวอีกว่า
"ผู้ใดที่แสวงหาเส้นทางสู่การแสวงหาความรู้ อัลลอฮจะทรงทำให้ง่ายดายสำหรับเขา
ซึ่งเส้นทางสู่สวนสวรรค์"
แปลโดย Alif Taopalee
พอข้อผิดพลาดแจ้งได้ที่ www.facebook.com/ALIFZA

อัศศิรอฏ๊อลมุสตะกีม

ความหมายของ "อัศศิรอฏ๊อลมุสตะกีม" (ทางอันเที่ยงตรง)
-คณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการและฟัตวา-

ถาม:ฉันต้องการู้ถึงความหมายของ "อัศศิรอฏ๊อลมุสตะกีม" ,จากผู้ซึ่งอัลลอฮฺทรง
กรุณาเมตตาบนพวกเขา ด้วยกับ ทางสายนี้
และอะไรคือ ความหมายของคำว่า "อามีน"ในซูเราะฮฺ อัลฟาติหะฮฺ?

ตอบ:ความหมายของ"อัศศิรอฏ๊อลมุสตะกีม"
คือ หนทางที่ชัดเจน ซึ่ง ไม่มีความคดเคี้ยวในมัน
ดังที่บางคนกล่าวว่า:คือ ศาสนา อิสลาม, และบ้างก็กล่าวว่า:คือ
ท่านนบีย์ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม และ ทุกๆสิ่งที่เป็นสัจธรรม
ดังนั้นหากผู้ใดที่ปฏิบัติตามท่านนบีย์ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวซัลลัม
แน่นอนเขาได้ปฏิบัติตาม ศาสนาอิสลาม
และผู้ใดที่ปฏิบัติตาม ศาสนาอิสลาม แน่นอนเขาได้ปฏิบัติตาม อัลกุรอาน
และผู้ซึ่ง อัลลอฮฺได้ทรงกรุณาเมตตา บนพวกเขา
ท่าน อิบนุกะษีร ได้กล่าวไว้ใน ตำราตัฟสีรของเขาว่า:ท่านฎิฮากได้กล่าวว่า
จากท่าน อิบนุ อับบาส :
หนทาง ซึ่ง ได้ทรงกรุณาเมตตาบนพวกเขา ด้วยกับ การเชื่อฟังของท่าน
และการอิบาดะฮฺของท่าน ที่มาจาก บรรดามะลาอิกะฮฺของท่าน
และจากบรรดานบีย์ของท่าน และบรรดาผู้สัตย์จริง
และบรรดาผู้ชะฮีด และบรรดาผู้ประพฤติดีทั้งหลาย
และดังกล่าว พิจรณาได้ถึงสิ่งที่ พระผู้อภิบาลของเราได้ตรัสไว้ว่า

"และผู้ใดที่เชื่อฟังอัลลอฮฺ และร่อซูลแล้ว ชนเหล่านี้จะอยู่ร่วมกับบรรดา
ผู้ที่อัลลอฮฺทรงกรุณาเมตตาแก่พวกเขา อันได้แก่บรรดานบีย์
บรรดาผู้ที่เชื่อโดยดุษฏี บรรดาผู้ที่เสียชีวิตในสงคราม และบรรดาผู้ที่ประพฤติดี
และชนเหล่านี้แหละเป็นเพื่อนที่ดี"(อันนิสาอฺ:69)

และความหมายของคำว่า "อามีน":คือ ขออัลลอฮฺทรงตอบรับด้วยเถิด

وبالله التوفيق وصلى الله على نبينامحمدوآله وصحبه وسلم
แปลโดย Alif Taopalee
พอข้อผิดพลาดแจ้งได้ที่ www.facebook.com/ALIFZA

ตัฟสีรอายะฮฺอัลกุรอาน

ตัฟสีร พระดำรัสของอัลลอฮฺ ตะอาลา ที่ว่า:
"และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้า”
ดังนั้น ผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ"
(อัล-กะฮฺฟฺ :29)

การอธิบายที่ถูกต้องสำหรับอายะฮฺดังกล่าว คือ:
แท้จริง อัลลอฮฺ ตะอาลา คำกล่าวของพระองค์ที่ทรงกล่าวแก่ ท่านนบีย์
ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ว่า : จงกล่าวเถิด โอ้มุฮัมมัด สำหรับพวกเขาเหล่านั้น
ซึ่งหัวใจของพวกเขาได้หลงลึมเราจาก การรำลึกถึงเรา
และ พวกเขาได้ปฏิบัติตาม อารมณ์ของพวกเขา -
-โอ้บรรดามนุษย์ทั้งหลาย -
นี่คือสิ่งที่จำเป็นบนพวกท่านต้องปฏิบัติตาม นั่นคือ สัจธรรม
ซึ่ง ถูกประทานลงมายังฉัน จากผู้อภิบาลของพวกท่าน
และยังพระองค์ คือ การเตาฟีก(การช่วยเหลือให้ได้รับความสำเร็จ) และ
การทอดทิ้ง และด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ มี ทั้งการให้ทางนำ และ ความหลงผิด
พระองค์ทรงให้ทางนำ ผู้ใดที่ประสงค์จากพวกท่าน ที่จะได้รับการชี้นำ
ก็จงศรัทธา และพระองค์ จะทรงให้หลง ผู้ใดที่ประสงค์ออกจากทางนำ
ก็จงปฏิเสธ
ไม่มีมายังฉัน สักสิ่งหนึ่งจากสิ่งดังกล่าว
และไม่มีผู้ใดที่ปฏิบัติตามอารมณ์ของพวกท่าน สักผู้หนึ่งที่มาจากผู้ปฏิบัติตาม สัจธรรม
และ(ผู้ที่ปฏิบัติตาม)ด้วยกับ อัลลอฮฺ และด้วยสิ่งที่ถูกประทานลงมาบนฉัน นั้น คือ ผู้ศรัทธา
ดังนั้นหากว่าพวกท่านประสงค์ พวกท่านก็จงศรัทธา และหากพวกท่านประสงค์
พวกท่านก็จงปฏิเสธ
แท้จริงหากพวกท่านได้ปฏิเสธ
แน่นอนอัลลอฮฺจะทรงเป็นศัตรูกับพวกท่าน
บนการปฏิเสธของพวกท่าน ด้วยกับมันนั้น คือ ไฟนรก
กำแพงของมันจะล้อมรอบพวกท่าน
และหากพวกท่านศรัทธาด้วยกับพระองค์ และปฏิบัติด้วยกับการเชื่อฟังพระองค์ ดังนั้นแท้จริงสำหรับพวกท่าน ผู้ทรงมหาบริสุทธิ์ ได้ทรงยกย่อง สำหรับ เหล่าบรรดาผู้ที่เชื่อฟังพระองค์

และไม่ใช่จุดประสงค์จากสิ่งนี้ ที่เป็น การอนุมัติของอัลลอฮฺตะอาลา
ให้มีการปฏิเสธแก่ผู้ที่ประสงค์ และ การอีมานแก่ผู้ที่ประสงค์
หากแต่ว่ามันคือ การขู่ให้กลัว และการขู่สำทับ ที่ได้บ่งถึงบนสิ่งนี้
อัลลอฮฺตะอาลาได้ทรงกล่าวมันหลังจากจบอายะฮฺนี้ จากการขู่ด้วยการลงโทษที่รุนแรง
และสิ่งที่มาในอายะฮฺทั้งสองหลังจากมัน
จากการแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้ศรัทธา ด้วยกับบรรดาสวนสวรรค์ที่สุขสบาย

จงกลับไปดูตำราตัฟสีร ของอิมาม อิบนุญะรีร อัฏฏอบรีย์ รอฮิมะฮุลลอฮฺ สำหรับอายะฮฺนี้
และ สองอายะฮฺหลังจากมันในซูเราะฮฺ อัลกะฮฺฟฺ
หรือ ตำราตัฟสีร อิบนุกะษีร และในทั้งสองตำรานี้เป็นที่เพียงพอแล้ว

وبالله التوفيق وصلى الله على نبينامحمدوآله وصحبه وسلم

-คณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการและฟัตวา-
----------------------------------------------------------------------
(ซูเราะฮฺ อัล-กะฮ์ฟฺ 29 - 31)

وَقُلِ الْحَقُّ مِن رَّبِّكُمْ ۖ فَمَن شَاءَ فَلْيُؤْمِن وَمَن شَاءَ فَلْيَكْفُرْ ۚ إِنَّا أَعْتَدْنَا لِلظَّالِمِينَ نَارًا أَحَاطَ بِهِمْ سُرَادِقُهَا ۚ وَإِن يَسْتَغِيثُوا يُغَاثُوا بِمَاءٍ كَالْمُهْلِ يَشْوِي الْوُجُوهَ ۚ بِئْسَ الشَّرَابُ وَسَاءَتْ مُرْتَفَقًا

และจงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “สัจธรรมนั้นมาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเจ้าดังนั้น ผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ แท้จริง เราได้เตรียมไฟนรกไว้สำหรับพวกอธรรมซึ่งกำแพงของมันล้อมรอบพวกเขา และถ้าพวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ ก็จะถูกช่วยเหลือด้วยน้ำเสมือนน้ำทองแดงเดือดลวกใบหน้า มันเป็นน้ำดื่มที่ชั่วช้าและเป็นที่พำนักที่เลวร้าย

إِنَّ الَّذِينَ آمَنُوا وَعَمِلُوا الصَّالِحَاتِ إِنَّا لَا نُضِيعُ أَجْرَ مَنْ أَحْسَنَ عَمَلًا

แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย เราจะไม่ให้การตอบแทนของผู้กระทำความดีสูญหายอย่างแน่นอน

أُولَٰئِكَ لَهُمْ جَنَّاتُ عَدْنٍ تَجْرِي مِن تَحْتِهِمُ الْأَنْهَارُ يُحَلَّوْنَ فِيهَا مِنْ أَسَاوِرَ مِن ذَهَبٍ وَيَلْبَسُونَ ثِيَابًا خُضْرًا مِّن سُندُسٍ وَإِسْتَبْرَقٍ مُّتَّكِئِينَ فِيهَا عَلَى الْأَرَائِكِ ۚ نِعْمَ الثَّوَابُ وَحَسُنَتْ مُرْتَفَقًا

ชนเหล่านั้นแหละ สำหรับพวกเขาจะได้รับสวนสวรรค์หลากหลายเป็นที่พำนัก มีลำน้ำหลายสายไหลผ่าน ณ เบื้องล่างของพวกเขา ในสวนสวรรค์พวกเขาจะได้ประดับกำไลทอง และสวมอาภรณ์สีเขียวทำด้วยผ้าไหมละเอียดและผ้าไหมหยาบนอนเอกเขนกบนเตียงใน สวรรค์ เป็นการตอบแทนที่ดียิ่งและเป็นพำนักที่ดีเยี่ยม


คณะกรรมการถาวรเพื่อการ
วิจัยทางวิชาการ การฟัตวา ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย


แปลโดย Alif Taopalee
พอข้อผิดพลาดแจ้งได้ที่ www.facebook.com/ALIFZA

ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮฺ


-เชค มุฮัมมัด บิน ศอลิห์ อัลอุษัยมีน รอฮิมะฮุลลอฮฺ-

ถาม:คำว่า"ลาอิลาฮะอิ้ลลั้ลลอฮฺ"เป็นคำที่คลอบคลุมบนประเภทของเตาฮีดทั้งหมดได้อย่างไร..?

ตอบ: มันได้ถูกทำให้คลอบคลุมทุกประเภทของเตาฮีดทั้งหมด
บางประเภทด้วยการรวม และบางประเภทด้วยการมีอยู่
และดังกล่าวนั้น แท้จริงคำพูดของผู้ที่กล่าวว่า
"อัชฮะดุ อั้ลลา อิลาฮะ อิ้ลลั้ลลอฮฺ" นั้น
มันได้กลับไปยังความเข้าใจที่ว่า แท้จริงจุดประสงค์ด้วยกับมัน คือ
การให้เอกภาพของการอิบาดะฮฺ ซึ่งถูกเรียกว่า เตาฮีด อัลอุลูฮียะฮฺ
และถูกรวมอยู่ในมัน สำหรับ เตาฮีดอัรรุ่บูบียะฮฺ เพราะว่า ทุกคนนั้นกราบไหว้ต่ออัลลอฮฺ
เพียงพระองค์เดียว ดังนั้นแท้จริงเขาจะไม่กราบไหว้พระองค์จนกว่าจะถูกทำให้มีอยู่กับเขา ด้วยกับ อัรรุบูบียะฮฺ

และเช่นสิ่งดังกล่าว ได้ถูกรวมไว้ สำหรับ เตาฮีด อัลอัสมาอฺวัศศิฟาต
เพราะว่า มนุษย์นั้น จะไม่กราบไหว้ เว้นแต่เป็นผู้ที่รู้ว่าแท้จริงพระองค์คือ
ผู้สมควรแก่การกราบไหว้สักการะ เมื่อสำหรับเขา(ได้รู้)จาก อัลอัสมาอฺวัศศิฟาต

และสำหรับสิ่งนี้ ท่านนบีย์ อิบรอฮีม ได้กล่าวแก่ พ่อของท่านว่า:

(ﻳﺎ ﺃﺑﺖ ﻟﻢ ﺗﻌﺒﺪ ﻣﺎ ﻻ ﻳﺴﻤﻊ ﻭﻻ ﻳﺒﺼﺮ ﻭﻻ ﻳﻐﻨﻲ ﻋﻨﻚ ﺷﻴﺌﺎ)

“โอ้พ่อจ๋า ทำไมท่านจึงเคารพบูชาสิ่งที่ไม่ได้ยินและไม่เห็น และไม่ให้ประโยชน์อันใด
แก่ท่านเลย ?ً (มัรยัม:42)

ดังนั้น เตาฮีด อัลอิบาดะฮฺ(การให้เอกภาพของการกราบไหว้สักการะ)
ได้ถูกทำให้รวมอยู่กับ เตาฮีด อัรรุบูบียะฮฺ และ เตาฮีด อัลอัสมาอฺวัศศิฟาต

الشيخ محمد بن صالح العثيمين رحمه الله
فتاوى أركان الإسلام ج١ / س١٤

แปลโดย Alif Taopalee
พอข้อผิดพลาดแจ้งได้ที่ www.facebook.com/ALIFZA

---------------------------------------------------------------------------
ﺱ: ﻛﻴﻒ ﻛﺎﻧﺖ "ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﺍﻟﻠﻪ" ﻣﺸﺘﻤﻠﺔ ﻋﻠﻰ ﺟﻤﻴﻊ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﺘﻮﺣﻴﺪ؟

ﺍﻟﺠﻮﺍﺏ: ﻫﻲ ﺗﺸﻤﻞ ﺟﻤﻴﻊ ﺃﻧﻮﺍﻉ ﺍﻟﺘﻮﺣﻴﺪ ﻛﻠﻬﺎ, ﺇﻣﺎ ﺑﺎﻟﺘﻀﻤﻦ, ﻭﺇﻣﺎ ﺑﺎﻻﻟﺘﺰﺍﻡ,

ﻭﺫﻟﻚ ﺃﻥ ﻗﻮﻝ ﺍﻟﻘﺎﺋﻞ "ﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇﻻ ﺍﻟﻠﻪ" ﻳﺘﺒﺎﺩﺭ ﺇﻟﻰ ﺍﻟﺬﻫﻦ ﺃﻥ ﺍﻟﻤﺮﺍﺩ ﺑﻬﺎ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ -ﺍﻟﺬﻱ ﻳﺴﻤﻰ ﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﻟﻮﻫﻴﺔ- ﻭﻫﻮ ﻣﺘﻀﻤﻦ ﻟﺘﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﺮﺑﻮﺑﻴﺔ, ﻷﻥ ﻛﻞ ﻣﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻠﻪ ﻭﺣﺪﻩ, ﻓﺈﻧﻪ ﻟﻦ ﻳﻌﺒﺪﻩ ﺣﺘﻰ ﻳﻜﻮﻥ ﻣﻘﺮﺍ ﻟﻪ ﺑﺎﻟﺮﺑﻮﺑﻴﺔ,

ﻭﻛﺬﻟﻚ ﻣﺘﻀﻤﻦ ﻟﺘﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﺳﻤﺎﺀ ﻭﺍﻟﺼﻔﺎﺕ, ﻷﻥ ﺍﻹﻧﺴﺎﻥ ﻻ ﻳﻌﺒﺪ ﺇﻻ ﻣﻦ ﻋﻠﻢ ﺃﻧﻪ ﻣﺴﺘﺤﻖ ﻟﻠﻌﺒﺎﺩﺓ, ﻟﻤﺎ ﻟﻪ ﻣﻦ ﺍﻷﺳﻤﺎﺀ ﻭﺍﻟﺼﻔﺎﺕ,

ﻭﻟﻬﺬﺍ ﻗﺎﻝ ﺇﺑﺮﺍﻫﻴﻢ ﻷﺑﻴﻪ: (ﻳﺎ ﺃﺑﺖ ﻟﻢ ﺗﻌﺒﺪ ﻣﺎ ﻻ ﻳﺴﻤﻊ ﻭﻻ ﻳﺒﺼﺮ ﻭﻻ ﻳﻐﻨﻲ ﻋﻨﻚ ﺷﻴﺌﺎ) (ﻣﺮﻳﻢ: ﺍﻵﻳﺔ٤٢) . ﻓﺘﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩﺓ ﻣﺘﻀﻤﻦ ﻟﺘﻮﺣﻴﺪ ﺍﻟﺮﺑﻮﺑﻴﺔ ﻭﺗﻮﺣﻴﺪ ﺍﻷﺳﻤﺎﺀ ﻭﺍﻟﺼﻔﺎﺕ.

الشيخ محمد بن صالح العثيمين رحمه الله
فتاوى أركان الإسلام ج١ / س١٤

สตรีกับการดะอฺวะฮฺ

-สตรี กับ การดะอฺวะฮฺ ไปสู่อัลลอฮฺ ผู้ทรงยิ่งใหญ่และทรงสูงส่ง-
-เชค อับดุลอะซีซ บิน อับดุลลอฮฺ บิน บาซ-

สตรีนั้นเช่นเดียวกับบุรุษ บนพวกนาง นั้นวาญิบ ในการดะอฺวะฮฺไปสู่อัลลอฮฺ
และสั่งใช้ด้วยการทำความดี และ ห้ามปรามจากความชั่ว
และหลักฐานจากอัลกุ รอาน และสุนนะฮฺ นั้นครอบคลุมทั้งหมด เว้นแต่จะมีหลักฐาน
ที่ถูกเจาะจงด้วยกับมัน และคำกล่าวต่างๆของบรรดาผู้รู้ ที่เห็นชอบในสิ่งดังกล่าว
และจากหลักฐานของอัลกุรอานในสิ่งดังกล่าว คือ
พระดำรัสของอัลลอฮฺตะอาลา ที่ว่า

وَالْمُؤْمِنُونَ وَالْمُؤْمِنَاتُ بَعْضُهُمْ أَوْلِيَاء بَعْضٍ يَأْمُرُونَ بِالْمَعْرُوفِ وَيَنْهَوْنَ عَنِ الْمُنكَرِ

“และบรรดามุมิน ชาย และบรรดามุมินหญิงนั้น บางส่วนของพวกเขาต่างเป็นผู้ช่วยเหลือ
อีกบางส่วน ซึ่งพวกเขาจะใช้ให้ปฏิบัติในสิ่งที่ชอบและห้ามปรามในสิ่งที่ไม่ชอบ"
(อัต-เตา บะฮฺ:71)

ดังนั้นจำเป็นบนสตรี ที่จะต้องดะอฺวะฮฺไปสู่อัลลอฮฺ ด้วยการมีมารยาท ตามบทบัญญัติ
ซึ่งได้ถูกร้องขอจากบุรุษเช่นกัน และจำเป็นบนนาง พร้อมกับสิ่งดังกล่าว คือ
ความอดทน และ ความสุขุมรอบคอบ
ดังพระดำรัสของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ว่า:

وَاصْبِرُواْ إِنَّ اللّهَ مَعَ الصَّابِرِينَ

ً"และจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอยู่กับผู้ที่อดทนทั้งหลาย”
(อัล-อันฟาล:46)
และพระดำรัสของพระองค์สำหรับท่านลุกมานผู้ปราชญ์เปรื่อง
แท้จริงเขาได้กล่าวแก่ลูกชายของเขาว่า

يَا بُنَيَّ أَقِمِ الصَّلَاةَ وَأْمُرْ بِالْمَعْرُوفِ وَانْهَ عَنِ الْمُنكَرِ وَاصْبِرْ عَلَىٰ مَا أَصَابَكَ ۖ إِنَّ ذَٰلِكَ مِنْ عَزْمِ الْأُمُورِ

“โอ้ลูกเอ๋ย เจ้าจงดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และจงใช้กันให้กระทำความดี
และจงห้ามปรามกันให้ละเว้นการทำความชั่ว และจงอดทนต่อสิ่งที่ประสบกับเจ้า
แท้จริง นั่นคือส่วนหนึ่งจากกิจการที่หนักแน่น มั่นคง”
(ลุกมาน : 17)

หลังจากนั้นจำเป็นบนนางเช่นกัน ที่จะต้องเอาใจใส่ดูแล คำสั่งใช้อื่นๆ เช่น:
นางจะต้องเป็นตัวอย่างในการ ละทิ้งความใคร่ใฝ่ต่ำ ทำตนให้มีจิตใจและร่างกายที่บริสุทธิ์
และ การคลุมฮิญาบ และ ประกอบการงานที่ีดีงาม และนางต้องทำให้ห่างไหลจา
กการ อวดโฉม และการ ปะปนกับบุรุษที่ถูกห้ามจากเขา
- จนกระทั่ง นางทำให้การดะอฺวะฮฺของนาง ด้วยกับ คำพูด
และการกระทำ ออกจากทุกสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้ามไว้ บนตัวนาง


แปลโดย Alif Taopalee
พอข้อผิดพลาดแจ้งได้ที่ www.facebook.com/ALIFZA

วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การทดสอบ(อัลอิบติลาอฺ)


ท่าน อิบนุ กอยยิม อัลเญาซียะฮฺ (ขออัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน)ได้กล่าวไว้ว่า

แท้จริงอัลลอฮฺตะอาลานั้นเมื่อ่ได้ทำการทดสอบ(บะลาอฺ)ต่อบ่าว
แน่แท้ ... พระองค์ทรงรักเขา

การทดสอบ(อัลอิบติลาอฺ)นั้นมี 2 ประเภท

การทดสอบเพื่อยับยั้ง และ การทดสอบเพื่อยกระดับ

เมื่อบ่าวเป็นผู้ที่ฝ่าฝืน หลงระเริงกับโลกดุนยาของเขา จนหลงลืม
พระผู้อภิบาลของเขา

ดังนั้นการทดสอบ ของเขานั้น มีเพื่อการยับยั้งเขา
จากบาปทั้งหลาย และ การฝ่าฝืน และ ทำให้เขาหวนรำลึกถึง อัลลอฮฺ ตะอาลา

และ เมื่อ บ่าว ผู้ถูกทดสอบนั้น เป็น ผู้ศรัทธามั่น และเชื่อฟัง ต่อพระผู้อภิบาลของเขา

ดังนั้น การทดสอบของเขานั้น เพื่อ ชำระล้างเขาให้บริสุทธิ์ จากบาปทั้งหลาย
และเพื่อยกสถานะของเขาให้สูงขึ้น

การทดสอบ ทั้งสองนี้ มาจาก(ความรักของ)อัลลอฮฺตะอาลา ต่อบ่าวของพระองค์
และเป็นความเมตตาของพระองค์ และความเอ็นดูของพระองค์ แก่ บ่าว

และหากว่า เราได้ถูกเผยให้ได้รับทราบถึง สิ่งที่ถูกซ่อนเร้นไว้แล้วละก็
การเลือกสรรค์ของเรา ก็เป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่พระผู้ทรงเมตตายิ่งเหนือกว่าผู้เมตตาทั้งปวง
ได้คัดสรรค์มันนั้นให้แก่เรา

แปลโดย Alif Taopalee
www.facebook.com/ALIFZA
قال ابن القيم رحمه الله: ـ

ان الله إذا ابتلَى عبدا ؛ فقد .. أحبـه

فالإبتِلاءُ نوعان :
...
إبتلاء لـ رَدْعْ .. وابتلاء لـ رَفْعْ

فإذا كانَ العبدُ عاصياً لاهياً في دنياه غافلاً عن ربِّه،
فقد إبتلاهُ لرَدْعِه عن الذنوب والمعاصي وتذكيره بربه تعالى!

وإذا كان العبدُ المبتلى مؤمناً طائعاً لربه،
فقد إبتلاهُ لتنقيتهِ من الذُنوب و رفع منزلتِه!

فكِلا الابتلاءان من (حـب) الله تعالى لعبدِه وَرحمتِه به ولطفِه
ولو إطَّلعنَا على الغيبِ لاخترنا ما اختاره أرحمُ الراحمينَ لنا

10ประการที่สูญเสียไปอย่างไร้ประโยชน์


จากคำกล่าวที่เยี่ยมยอดของ
ท่าน อิบนุกอยยิม อัลเญาซีย์ (ขออัลลอฮฺเมตตาต่อท่าน)

10ประการที่สูญเสียไปอย่างไร้ประโยชน์

ความรู้...ที่ไม่ได้ถูกนำมาปฏิบัติ

การงาน...ที่ปราศจากความบริสุทธิ์ใจและไม่มีแบบอย่าง

ทรัพย์สมบัติ...ที่มิได้ถูกใช้จ่ายไป ดังนั้นเขาก็มิได้มีความสุขกับการเก็บสะสมมันไว้ใน
โลกดุนยา และ มิได้ถูกนำมาใช้ก่อนที่เขาจะไปสู่อาคิเราะฮฺ

หัวใจ...ที่ปราศจากความรัก ความคิดถึง และ ความสนิทสนมใกล้ชิด
ต่ออัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา

ร่างกาย...ที่เว้นว่างจากการเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

ความรัก...ที่ไม่ได้ผูกติดอยู่กับความพึงพอใจของผู้เป็นที่รัก(หมายถึง อัลลอฮฺตะอาลา) และ
ไม่ได้ผูกติดอยู่กับการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์

เวลา...ที่ว่างเว้นไปจากการชดเชย(ทำดีลบล้างความผิด) และการรีบเร่ง
หรือ ฉวยโอกาศในการทำความดี และใกล้ชิดต่อพระองค์

ความคิด...ที่วนเวียนอยู่กับสิ่งที่ไร้ประโยชน์

การรับใช้...ผู้ที่ไม่ได้ทำให้การรับใช้ของเขานั้นได้ทำให้เขาใกล้ชิดกับอัลลอฮฺตะอาลา
และมิได้นำผลประโยชน์ใดๆมาสู่เขาเลยในโลกดุนยานี้

ความกลัว... และการตั้งความหวังของเขา ต่อคนที่ตัวของเขาเองก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ คือ
เขาเองก็เปรียบเหมือนเชลยที่ถูกคุมขัง ไม่มีกรรมสิทธิ์ในตัวของเขาเอง ทั้งในเรื่องของ
การระมัดระวัง ผลประโยชน์ ความตาย การมีชีวิต และ การฟื้นคืนชีพ

- และความเสียหายที่ใหญ่หลวงที่สุดก็คือความเสียหายสองอย่าง ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นเป็นพื้นฐานของความเสียหายทั้งหลาย สองอย่างนั้นก็คือ หัวใจที่เสียหาย และ เวลาที่เสียหาย

-หัวใจที่เสียหายอันเนื่องมากจากการให้อิทธิพลของดุนยาอยู่เหนืออาคีเราะฮฺ

-เวลาที่เสียหายอันเนื่องมาจากความหวังอันยาวไกล(ความเพ้อฝัน-ความหวังลมๆ แล้งๆ)) ดังนั้นความเสียหายทั้งหมดจึงถูกรวมเอาไว้ในการตามอารมณ์ใฝ่ต่ำ และความหวังอันยาวไกล

ในขณะที่คุณงามความดีถูกรวมไว้ในการปฏิบัติตามทางนำและการเตรียมตัวให้พร้อม
เพื่อการพบ(อัลลอฮฺ)และอัลลอฮฺทรงเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ

(จากกิตาบ ฟะวาอิด ของท่าน อิบนุกอยยิม อัลเญาซียะฮ 120/121)

แปลโดย Alif Taopalee
www.facebook.com/ALIFZA

من روائع ابن القيم قوله:
عشرة أشياء ضائعة لا ينتفع بها
علم لا يعمل به
وعمل لا اخلاص فيه ولا اقتداء
ومال لا ينفق منه فلا يستمتع به جامعة في الدنيا ولا يقدمه امامه الى الآخرة
وقلب فارغ من محبة الله والشوق اليه والأنس به
وبدن معطل من طاعته وخدمته
ومحبة لا تتقيد برضاء المحبوب وامتثال أوامره
ووقت معطل عن استدراك فارطه أو اغتنام بره وقربه
وفكر يجول فيما لا ينفع
وخدمة من لا تقربك خدمته الى الله ولا تعود عليك بصلاح دنياك
وخوفك ورجاؤك لمن ناصيته بيد الله وهو أسبر فى قبضته
ولا يملك لنفسه حذرا ولا نفعا ولا موتا ولا حياة ولا نشورا
وأعظم هذه الاضاعات اضاعتان هما أصل كل اضاعة اضاعة القلب ،
واضاعة الوقت فاضاعة القلب من ايثار الدنيا على الآخرة
واضاعة الوقت من طول الأمل فاجتمع الفساد كله فى اتباع الهوى وطول الأمل
والصلاح كله فى اتباع لهدى والاستعداد للقاء والله المستعان

هذا من كتاب الفوائد لابن قيم الجوزية: ص (120/121

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

อัสสะละฟียะฮฺ คือ?

นี่คือ อัสสะละฟียะฮฺ ...!!!

เชค ศอลิหฺ เฟาซาน หะฟิศอหุลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า

เป้าหมาย ของ แนวทาง สะละฟีย์ คือ สิ่งที่ดำรงอยู่บน ชาวสะลัฟ
กลุ่มชนนี้ มาจาก บรรดาศอฮาบะฮฺและตาบิอีน
และ บรรดาอิมามผู้ทรงเกียรติ จาก การยึดมั่นที่ถูกต้องและมันฮัจญ์ที่ปลอดภัย
และการอีมานศรัทธาอย่างจริงใจ และยึดมั่นในศาสนาอิสลาม
ด้วยกับ อะกีดะฮฺ และ ชะรีอะฮฺ และ มารยาท และ การดำเนินชีวิต
สิ่งที่ขัดแย้งกับพวกเขา คือ พวกบิดอะฮฺ(ทำอุตริกรรม) และ
พวกที่บิดเบือน และพวกที่หลงผิด

และเป็นที่ประจักษ์ว่าเขาเป็นผู้ที่เรียกร้องไปยังแนวทางของชาวสะลัฟ และ อิมามทั้งสี่และเชคคุลอิสลาม อิบนุตัยมียะฮฺ และสานุศิษย์ของเขา และ เชค มุฮัมมัด บิน อับดุลวะฮาบและ สานุศิษย์ของเขา และคนอื่นๆจากพวกเขา จากทุกๆคนที่เป็นผู้ที่ปรับปรุงและฟื้นฟู
(แนวทางสะลัฟ)ไม่ว่าเขาจะอยู่ใน ช่วงเวลาใดเขาก็จะยืนหยัดดำรงอยู่เพื่ออัลลอฮฺ
ด้วยกับหลักฐาน

และไม่เป็นไร จากการที่จะเรียกพวกเขา ด้วยชื่อ อะฮฺลิสสุนนะฮฺวัลญะมาอะฮฺ เพื่อให้เป็นการแยกแตกต่าง ระหว่างพวกเขา กับ พวกที่อยู่บนแนวทางที่บิดเบือนและมันไม่ใช่ คำชี้แนะเพื่อตามนัฟซู(ความต้องการของอารมณ์ตัวเอง) แต่มันเป็นการทำให้แยกออก ระหว่าง กลุ่มชนแห่งสัจธรรม และ กลุ่มชนแห่งความเท็จ

แปลโดย Alif Taopalee
www.facebook.com/ALIFZA

هذه هي السلفية

قال الشيخ صالح الفوزان حفظه الله :

" المقصود بالمذهب السّلفي هو ما كان عليه سلف هذه الأمة من الصحابة والتابعين والأئمة المعتبرين من الاعتقاد الصّحيح ، والمنهج السّليم ، والإيمان الصّادق ، والتمسُّك بالإسلام عقيدة وشريعة وأدبًا وسلوكًا ؛ خلاف ما عليه المبتدعة والمنحرفون والمخرِّفون .

ومن أبرز من دعا إلى مذهب السّلف الأئمة الأربعة ، وشيخ الإسلام ابن تيميَّة ، وتلاميذه ، والشيخ محمد بن عبد الوهَّاب ، وتلاميذه ، وغيرهم من كلّ مصلح ومجدِّد ، حيث لا يخلو زمان من قائم لله بحجَّةٍ .

ولا بأس من تسميتهم بأهل السنة والجماعة ؛ فرقًا بينهم وبين أصحاب المذاهب المنحرفة ، وليس هذا تزكية للنفس ، وإنما هو من التمييز بين أهل الحق وأهل الباطل " انتهى .

" المنتقى من فتاوى الشيخ الفوزان " ( 1 / السؤال رقم ( ٢٠٦

99พระนามอัลลอฮฺ(2)


ความหมายของพระนามต่างๆของอัลลอฮฺ

القريب (อัลเกาะรีบ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ใกล้ชิดด้วยกับความรอบรู้และความสามารถของพระองค์ต่อสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ และด้วยกับความอ่อนโยนและความช่วยเหลือของพระองค์ที่มีต่อบ่าวผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในขณะที่พระองค์นั้นทรงอยู่เหนือบัลลังก์ของพระองค์ ซึ่งซาตของพระองค์จะไม่ปะปนกับสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย

اﻟﻤجيب (อัลมุญีบ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ตอบรับการเรียกร้องของบรรดาผู้วิงวอนทั้งหลาย และการขอร้องของบรรดาผู้วอนขอทั้งหลาย ตามความรอบรู้ และวิทยความปรีชาญาณของพระองค์

اﻟﻤقيت (อัลมุกีต)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่สร้างอาหารหลักทั้งปวง และสร้างปัจจัยยังชีพทั้งหลาย และพระองค์อนุเคราะห์ให้สิ่งเหล่านั้นทั่วถึงไปยังสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และพระองค์เป็นผู้รักษามันและรักษาการงานต่างๆ ของบ่าวโดยไม่ให้บกพร่องอันใดเลย

اﻟﺤسيب (อัลหะสีบ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ให้ความพอเพียงสำหรับบ่าวของพระองค์ซึ่งสิ่งทั้งหลายทั้ง ปวงที่สำคัญยิ่งสำหรับพวกเขา จากเรื่องศาสนาของพวกเขาและดุนยาของพวกเขาและสำหรับบรรดามุอ์มินีนผู้ศรัทธา พวกเขาจะได้รับส่วนที่ยิ่งใหญ่กว่าจากค่าตอบแทนของพระองค์ และพระองค์คือผู้คิดคำนวนให้แก่พวกเขาซึ่งสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติต่อพระองค์ใน โลกดุนยา

اﻟﻤؤمن (อัลมุอ์มิน)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ทรงเป็นสักขีแห่งความถูกต้องแก่บรรดาศาสนทูตและผู้ปฏิบัติ ตามพวกเขาด้วยการเป็นพยานของพระองค์ว่าพวกเขาเป็นผู้สัจจริง และด้วยกับสิ่งที่พระองค์ทรงยืนยันจากหลักฐานต่างๆ ถึงความสัจจริงของพวกเขา และความปลอดภัยทุกอย่างทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺนั้นมาจากการประทานให้ของ พระองค์ และพระองค์เป็นผู้รับประกันความปลอดภัยแก่บรรดามุอ์มินีนผู้ศรัทธาทั้งหลาย ว่าจะไม่ทรงอธรรม ทรมาน หรือทดสอบพวกเขาด้วยความหวาดกลัวของวันกิยามะฮฺ

اﻟﻤنان(อัลมันนาน)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มากมายด้วยการให้ ผู้ที่มีความการุญอย่างมหาศาล ผู้ที่มั่งคั่งด้วยความดีที่มีต่อสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย

الطيب (อัฏฏ็อยยิบ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่บริสุทธิ์และปลอดจากทุกๆ สิ่งที่น่าตำหนิและบกพร่องทั้งหลายและพระองค์นั้นทรงไว้ซึ่งความงดงามและ ความสมบูรณ์อย่างแท้จริง และพระองค์คือผู้ทรงมหาศาลด้วยความดีที่มีต่อสิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และพระองค์จะไม่ตอบรับการงานทั้งหลายและการบริจาคทั้งหลาย เว้นแต่สิ่งที่ดีๆ และที่หะลาล(เป็นที่อนุมัติ) และมีความบริสุทธิ์ใจเพื่อพระองค์เท่านั้น

الشاﻓﻲ (อัชชาฟีย์)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ให้การรักษาเยียวยาหัวใจและร่างกายทั้งหลายจากโรคร้ายทั้ง ปวงของมัน และมันไม่ได้อยู่ในอำนาจของบ่าว เว้นแต่ด้วยสิ่งที่อัลลอฮฺกำหนดให้มีความสะดวกง่ายดายจากโอสถและยาต่างๆ สำหรับพวกเขา ส่วนการให้หายจากโรคนั้นอยู่ในอำนาจของพระองค์เพียงผู้เดียว

اﻟﺤفيظ (อัลหะฟีซ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่รักษาดูแลบ่าวผู้ศรัทธาทั้งหลายของพระองค์ และการงานต่างๆ ของพวกเขาด้วยความเอื้ออาทรของพระองค์ และเป็นผู้ดูแลเอาใจใส่และพิทักษ์สิ่งถูกสร้างทั้งหลายด้วยพระเดชานุภาพของ
พระองค์

الوكيل (อัลวะกีล)
คือพระองค์เป็นผู้ที่รับภาระและหน้าที่ดูแลจักรวาลทั้งมวล ทั้งด้วยการสรรค์สร้างและการจัดการ ทรงเป็นผู้รับภาระในการบันดาลและเอื้ออำนวย เป็นผู้ทรงดูแลบรรดาผู้ศรัทธาที่มอบหมายการงานต่างๆ ไปยังพระองค์ก่อนที่พวกเขาจะปฏิบัติและได้ขอความช่วยเหลือต่อพระองค์ในขณะ ที่พวกเขาลงมือ และได้สรรเสริญขอบคุณพระองค์เมื่อพระองค์ให้พวกเขาทำสำเร็จอย่างลุล่วง และพวกเขาได้พอใจกับสิ่งที่พระองค์แบ่งให้หลังจากที่ทรงทดสอบพวกเขา

اﻟﺨلاق (อัลคอลลากฺ)
เป็นพระนามที่ชี้ถึงความมหาศาลของสิ่งที่พระองค์สร้าง ดังนั้นพระองค์ยังคงดำเนินต่อไปซึ่งการเนรมิตและเสกสรรค์
และยังคงไว้ซึ่คุณลักษณะอันยิ่งใหญ่นี้

اﻟﺨالق(อัลคอลิกฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่เนรมิตสิ่งถูกสร้างทั้งปวงโดยปราศจากแบบอย่างมาก่อนเลย

البارئ (อัลบาริอ์)
คือ พระองค์เป็นผู้สร้างสิ่งที่พระองค์กำหนดและตัดสินพระทัยในหมู่สิ่งถูกสร้างทั้งปวง และได้นำมันออกไปสู่การมีอยู่ของมันจริงๆ

اﻟﻤصور (อัลมุเศาวิรฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่สรรค์สร้างสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ตามรูปแบบที่พระองค์ทรงเลือกมันสำหรับพวกเขาด้วยเหตุผลของพระองค์ และด้วยความรอบรู้ของพระองค์ และด้วยความเมตตาของพระองค์

الرب (อัรร็อบ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่บำรุงดูแลสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์
ด้วยความเมตตาของพระองค์ และทำให้พวกเขาเติบโตขึ้นทีละน้อย
และดูแลรักษาบรรดาวะลีย์ผู้ใกล้ชิดของพระองค์ด้วยสิ่งที่ดีต่อหัวใจทั้งหลาย ของพวกเขา และพระองค์เป็นผู้สร้าง เป็นผู้มีอำนาจครอบครอง เป็นผู้ปกครอง

العظيم (อัลอะซีม)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ซึ่งสำหรับพระองค์นั้นคือความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ในซาตของพระองค์เอง และพระนามต่างๆ ของพระองค์ และคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ด้วยเหตุนี้ จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับปวงบ่าวและสิ่งถูกสร้างทั้งหลายจะต้องให้ความยิ่งใหญ่ ต่อพระองค์ และให้การยกย่องต่อพระองค์ และให้ความสำคัญต่อคำสั่งใช้ และคำสั่งห้ามของพระองค์

القاهر (อัลกอฮิรฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ทำให้ปวงบ่าวทั้งหลายยอมนอบน้อมถ่อมตนต่อพระองค์ และทำให้ปวงบ่าวและสิ่งถูกสร้างทั้งหลายเคารพภักดีต่อพระองค์ พระองค์เป็นผู้ทรงเกียรติอันสูงศักดิ์เหนือพวกเขาทั้งหลาย และเป็นผู้ทรงเกรียงไกร ที่ซึ่งลำคอทั้งหลายต้องน้อมให้ และใบหน้าทั้งหลายต้องก้มให้

القهار (อัลเกาะฮฺฮารฺ)
คือ สำนวนที่แสดงถึงคุณลักษณะ อัลกอฮิรฺ ดังกล่าวอย่างถึงที่สุด

اﻟﻤهيمن(อัลมุฮัยมิน)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ดำเนินการต่อสิ่งหนึ่ง และเป็นผู้ดูแลรักษามัน และเป็นพยานให้กับมัน และทรงห้อมล้อมมัน

العزيز (อัลอะซีซ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความหมายทั้งหลายของความเกรียงไกรยิ่งใหญ่ที่มี แด่พระองค์เท่านั้น ทรงเกรียงไกรในด้านพระเดชานุภาพซึ่งไม่มีผู้ใดจะมีชัยชนะเหนือพระองค์ได้ ทรงเกรียงไกรในด้านความเข้มแข็งโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือจากสิ่งใดเลย และทรงเกรียงไกรในด้านอานุภาพและชัยชนะ ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดสามารถเคลื่อนไหวได้ เว้นแต่ด้วยการอนุมัติของพระองค์เท่านั้น

اﻟﺠبار (อัลญับบารฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ซึ่งทรงไว้ด้วยพระประสงค์ที่ทรงประสิทธิภาพ และสิ่งถูกสร้างทั้งปวงต่างก็พ่ายแพ้ต่อพระองค์ และเกรงกลัวต่อความยิ่งใหญ่ของพระองค์ และสยบต่อเหตุผลของพระองค์ และพระองค์คือผู้ที่ดูแลรักษาคนที่มีความระส่ำระสาย และผู้ที่ให้ความร่ำรวยแก่คนยากจน และให้ความสะดวกแก่คนที่ลำบาก

اﻟﻤتكﺒﺮ (อัลมุตะกับบิรฺ)
พระองค์ คือ ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงทรนงจากสิ่งที่เลวและบกพร่องทุกประการ ผู้ทรงสูงส่งบริสุทธิ์เหนือการอธรรมต่อปวงบ่าว ผู้ทรงกำราบเหล่าผู้อหังการ ผู้ทรงลักษณะแห่งความทะนง ผู้ใดที่ยื้อแย้งกับพระองค์ในเรื่องดังกล่าวก็จะทรงปราบ และ ลงโทษเขา

الكبﻴﺮ(อัลกะบีรฺ)
คือผู้ทรงยิ่งใหญ่ในซาต(อัตตา, อาตมัน) ศิฟาต(คุณลักษณะ) และอัฟอาล(กิริยา)ของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเล็กกระจิดริดเมื่อเทียบกับความไพศาลและยิ่งใหญ่ของ พระองค์

اﻟﺤﻴﻲ (อัลหะยีย์)
คือ ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความละอายที่คู่ควรกับความยิ่งใหญ่แห่งพระพักตร์และ อำนาจของพระองค์ ความละอายของอัลลอฮฺคือละอายในรูปของความการุณย์ เผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อและไพศาล

الحي (อัลหัยยุย์)
คือ ผู้ทรงชีวินที่สถาพรและสมบูรณ์ ผู้ทรงอยู่อย่างนิรันดรไม่มีจุดเริ่มและจุดจบ ทุกๆชีวิตที่มีอยู่ล้วนมาจากพระองค์

القيوم (อัลก็อยยูม)
คือ ผู้ทรงยืนหยัดด้วยพระองค์เอง ผู้ทรงไม่ต้องพึ่งสิ่งใดทั้งสิ้นในหมู่สรรพสิ่งที่ถูกสร้างเป็นผู้ทรงค้ำจุน ทุกสิ่งทุกอย่างในชั้นฟ้าและแผ่นดิน ทุกอย่างล้วนมีความจำเป็นต้องพึ่งพระองค์

الوارث (อัลวาริษ)
คือ ผู้ที่คงอยู่หลังการสูญสลายของทุกสรรพสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับคืนสู่พระองค์เมื่อเจ้าของมันสูญสลายแล้ว และทุกอย่างที่อยู่ในมือเราล้วนเป็นของฝากที่วันหนึ่งก็จะกลับไปสู่อัลลอฮฺ ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง

الديان (อัดดัยยาน)
คือ ผู้ที่ทุกสรรพสิ่งนอบน้อมต่อพระองค์และยอมสยบ ผู้ทรงตอบแทนบ่าวทั้งหลายในสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติ ถ้าเป็นความดีก็จะทรงเพิ่มพูนให้ ถ้าเป็นความชั่วก็จะทรงลงโทษหรือไม่ก็ทรงอภัยให้

اﻟﻤلك (อัลมะลิก)
คือ ผู้ทรงครอบครองคำสั่งใช้ คำสั่งห้าม และชัยชนะ ผู้ทรงบริหารจัดการสรรพสิ่งทั้งปวงของพระองค์ด้วยคำสั่งและการกระทำของ พระองค์ และไม่มีผู้ใดที่มีส่วนในการยืนหยัดอยู่ของการครอบครอง
และการดูแลของพระองค์

اﻟﻤالك (อัลมาลิก)
คือ ผู้ทรงครอบครองแต่เดิมและโดยสิทธิของพระองค์ การครอบครองนั้นเป็นสิทธิของพระองค์ตั้งแต่วินาทีที่ทรงสร้างสรรพสิ่ง มันไม่ใช่ของผู้อื่นผู้ใดนอกจากพระองค์และการครอบครองนั้นก็ยังเป็นสิทธิของ พระองค์เมื่อถึงจุดจบที่ทุกสรรพสิ่งสูญสลาย

اﻟﻤليك (อัลมะลีก)
เป็นพระนามที่บ่งบอกถึงการครอบครองโดยสัมบูรณ์ ซึ่งมีความหมายที่ลึกซึ้งกว่าอัลมะลิก

السبوح (อัสสุบบูหฺ)
คือ ผู้ทรงบริสุทธิ์จากทุกๆ ข้อตำหนิและความบกพร่อง เพราะพระองค์นั้นมีคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์พร้อมมูลและความงดงามโดยสัมบูรณ์

القدوس (อัลกุดดูส)
คือ ผู้ทรงบริสุทธิ์และปราศจากความบกพร่องและตำหนิทุกประการ ไม่ว่าจะในแง่มุมใดก็ตาม เนื่องเพราะพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงเอกะด้วยคุณลักษณะแห่งความสมบูรณ์โดยแท้ พระองค์จึงไม่คู่ควรแก่การเปรียบเทียบใดๆ

السلام (อัสสะลาม)
คือ ผู้ทรงปลอดจากจากความบกพร่องและตำหนิใดๆ ทุกอย่าง ในซาต หรือคุณลักษณะและพระนามต่างๆ และกิริยาต่างๆ ของพระองค์ ทุกๆ ความสันติที่เกิดขึ้นในดุนยาและอาคิเราะฮฺล้วนมาจากพระองค์

اﻟﺤق (อัลหักฺ)
คือ คือผู้ทรงสัจจริงโดยไม่มีข้อสงสัยและคลางแคลงใดๆ ทั้งในพระนามและคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ การเป็นพระเจ้าที่คู่ควรต่อการเคารพภักดีเพียงพระองค์เดียว ดังนั้นพระองค์จึงเป็นผู้ที่ไม่มีสิ่งใดควรแก่การเคารพอิบาดะฮฺโดยสัจจริง นอกจากพระองค์เท่านั้น

اﻟﻤبﻴﻦ (อัลมุบีน)
คือ ผู้ทรงชัดเจนในเรื่องต่างๆ ของพระองค์ ทั้งในความเป็นเอกภาพ วิทยปัญญา และความเมตตาของพระองค์ ผู้ทรงชี้แจงแก่บ่าวให้พบกับทางแห่งความถูกต้องเพื่อพวกเขาจะได้ตามมัน และให้พวกเขาเห็นทางที่หันเหเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงมัน

القوي (อัลเกาะวียยุ)
คือ ผู้ทรงอำนาจบารมีโดยสัมบูรณ์พร้อมกับความประสงค์ที่เปี่ยมพร้อม

اﻟﻤتﻴﻦ (อัลมะตีน)
คือ ผู้ทรงแน่นหนักด้วยอำ นาจและความสามารถ ทุกสิ่งที่ทรงทำ ไม่มีความยากลำบาก ไม่ต้องใช้แรง และไม่มีความเหน็ดเหนื่อยใดๆ

القادر (อัลกอดิรฺ)
คือ ผู้ทรงสามารถในทุกๆ สิ่ง ไม่มีสิ่งใดในแผ่นดินและชั้นฟ้าที่ทำให้
พระองค์อ่อนแรงได้ พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนดทุกสิ่งทุกอย่าง

القدير (อัลเกาะดีรฺ)
เป็น ความหมายเดียวกันกับ อัลกอดิรฺ แต่ว่ามีความลุ่มลึกกว่าในการสรรเสริญอัลลอฮฺ

اﻟﻤقتدر (อัลมุกตะดิรฺ)
เป็นพระนามที่บ่งบอกถึงความสามารถแห่งพระองค์อัลลอฮฺที่บรรลุความสุดยอดใน การบริหารจัดการกำหนดต่างๆ และการบันดาลทุกสิ่งตามที่มีอยู่ในความรอบรู้แต่แรกของพระองค์

العلى الأعلى (อัลอะลีย์ยุอัลอะอฺลา)
คือ ผู้ทรงสูงส่งในพระเกียรติ พระอำนาจ และซาตของพระองค์เอง
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้อำนาจและบารมีของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่อยู่เหนือพระองค์ทั้งสิ้น

اﻟﻤتعال (อัลมุตะอาล)
คือ ผู้ซึ่งสิ่งต่างๆ นั้นต่ำต้อยต่อหน้าความสูงส่งของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่อยู่เหนือพระองค์โดยเด็ดขาด ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ใต้พระองค์ อยู่ใต้อำนาจและบารมีของพระองค์

اﻟﻤقدم (อัลมุก็อดดิม)
คือ ผู้ทรงนำเสนอทุกๆ สิ่งและวางมันในที่ของมันตามที่ทรงประสงค์และตามวิทยปัญญาของพระองค์ ผู้ทรงให้สรรพสิ่งส่วนหนึ่งประเสริฐกว่าอีกส่วนหนึ่งตามความรอบรู้และพระคุณ ของพระองค์

اﻟﻤؤخر (อัลมุอัคคิรฺ)
คือ ผู้ทรงวางทุกสิ่งทุกอย่างในที่ของมัน ทรงให้มันอยู่ข้างหน้าและข้างหลังตามที่ทรง ประสงค์ด้วยวิทยปัญญาของพระองค์ ทรงประวิงการลงโทษจากปวงบ่าวเพื่อให้พวกเขาได้กลับตัวและสำนึกต่อพระองค์

اﻟﻤسعر(อัลมุสะอฺอิร)
คือ ผู้ทรงเพิ่มคุณค่า สถานะ และผลของทุกๆ สิ่ง และทรงลดมัน สิ่งต่างๆ จะแพง(มีค่า)หรือ
ถูก(ไร้ค่า)ย่อมเกิดขึ้นภายใต้การกำหนดแห่งวิทยปัญญาและความรอบรู้ของพระองค์

القابض (อัลกอบิฎ)
คือ ผู้ทรงเก็บเอาวิญญาณ ผู้ทรงกักริซกีหรือโชคลาภจากผู้ที่ทรงประสงค์ ด้วยวิทยปัญญาและความสามารถของพระองค์ เพื่อเป็นการทดสอบพวกเขา

الباسط (อัลบาสิฏ)
คือ ผู้ทรงแผ่ริซกีของพระองค์ให้กับปวงบ่าวด้วยความการุญและความเมตตาของพระองค์ และทรงทดสอบพวกเขาด้วยสิ่งนั้นตามวิทยปัญญาแห่งพระองค์ และทรงแผ่พระหัตถ์ของพระองค์เพื่อรับการสำนึกกลับตัวของบ่าวที่ทำผิด

الأولُ (อัลเอาวัล)
คือ ผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดมาก่อนพระองค์ ทว่าทุกสรรพสิ่งนั้นแท้จริงแล้วล้วนบังเกิดขึ้นด้วยการสร้างสรรค์ของพระองค์ ในขณะที่พระองค์นั้นไม่มีจุดเริ่มต้นของการมีอยู่

الآخرُ (อัลอาคีรฺ)
คือ ผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดอยู่หลังจากพระองค์อีก พระองค์คือผู้ทรงมีอยู่ ทุกๆ คนที่อยู่ในโลกล้วนต้องสูญสลาย แล้วก็จะกลับไปหาพระองค์ การมีอยู่ของพระองค์นั้นไม่มีจุดสิ้นสุด

الظاهر (อัซซอฮิรฺ)
คือ ผู้ทรงสูงส่งเหนือทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดที่สูงส่งกว่าพระองค์ พระองค์คือผู้ทรงอำนาจชัยชนะเหนือทุกสิ่งและทรงห้อมล้อมครอบคลุมทุกๆ อย่าง

الباطن (อัลบาฏิน)
คือ ผู้ซึ่งไม่มีสิ่งใดอยู่เบื้องล่างถัดไปจากพระองค์อีก และพระองค์คือผู้ทรงใกล้ชิดห้อมล้อมครอบคลุม และปกปิดเร้นลับจากการมองเห็นของสรรพสิ่งในดุนยา

الوتر (อัลวิตรฺ)
คือ ผู้ทรงเอกะหนึ่งเดียว ไม่มีคู่ภาคีใดๆ ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน

السيد (อัสสัยยิด)
คือ ผู้ทรงไว้ซึ่งการดูแลรับผิดชอบที่สัมบูรณ์เหนือสรรพสิ่งถูกสร้างของพระองค์ พระองค์คือผู้ครอบครองและผู้เลี้ยงดูพวกเขา และพวกเขานั้นเป็นสิ่งถูกสร้างและเป็นบ่าวของพระองค์

الصمد (อัลเศาะมัด)
คือ ผู้ปกครองที่สมบูรณ์ที่สุดในการดูแลจัดการ ผู้ซึ่งทุกๆ สรรพสิ่งต้องมุ่งหมายไปหาในการขอให้พระองค์จัดการความจำเป็นต่างๆ ของพวกเขาทุกอย่าง เนื่องด้วยการพึ่งพิงที่จำเป็นอย่างใหญ่หลวงของพวกเขาต่อพระองค์ พระองค์คือผู้ทรงให้อาหารและไม่ใช่ผู้ที่ถูกถวายอาหารให้

الواحد الأحد (อัลวาหิดุอัลอะหัด)
คือ ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวและเป็นเอกะในทุกๆ ความสมบูรณ์อย่างเบ็ดเสร็จ ไม่มีสิ่งใดเป็นภาคีต่อพระองค์ทั้งสิ้น และไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ และนี่ย่อมนำเราไปสู่การต้องเคารพอิบาดะฮฺต่อพระองค์เพียงผู้เดียวโดยไม่มีการเทียบเคียงใดๆ ต่อพระองค์

اﻹله (อัลอิลาฮฺ)
คือ ผู้ที่ถูกเคารพภักดีอย่างแท้จริง ผู้ที่คู่ควรแก่การอิบาดะฮฺเพียงพระองค์เดียวโดย ปราศจากสิ่งอื่นๆ

99พระนามอัลลอฮฺ(1)


ความหมายของพระนามต่างๆของอัลลอฮฺ มีดังนี้

الله (อัลลอฮฺ)
คือ ผู้ทรงครอบครองสิทธิแห่งการเป็นพระเจ้าที่คู่ควรแก่การกราบไหว้และการมอบตนเป็นบ่าวแด่พระองค์ เหนือสรรพสิ่งถูกสร้างทั้งมวล พระองค์ คือพระผู้เป็นเจ้าที่ต้องให้ความจงรักภักดี เทิดทูนสรรเสริญ นอบน้อมถ่อมตน และก้มกราบการอิบาดะฮฺทุกชนิดต้องทำเพื่อมอบหมายแด่พระองค์เท่านั้น

الرﺣﻤن (อัรเราะหฺมาน)
คือ พระนามที่ชี้ถึงพระองค์ผู้ทรงมีความกรุณาเมตตาอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมสิ่งถูกสร้างทุกอย่างทั้งมวล และเป็นพระนามที่เจาะจง เฉพาะอัลลอฮฺตะอาลาและไม่อนุญาตให้ใช้กับสิ่งอื่นนอกจากพระองค์

الرحيم (อัรเราะหีม)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มีความกรุณาปรานี ผู้อภัยโทษต่อบรรดามุอ์มินทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ ซึ่งโดยแน่แท้ พระองค์ได้ทรงชี้นำพวกเขาสู่การเคารพภักดีต่อพระองค์ และจะทรงยกย่องพวกเขาให้เกียรติพวกเขาในวันอาคิเราะฮฺด้วยสรวงสวรรค์ของ พระองค์

العفو (อัลอะฟุวว์)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ลบความผิดบาปและยกโทษให้
และไม่ทรงลงโทษบ่าวแม้ว่าการลงโทษนั้นคู่ควรแก่บ่าวแล้วก็ตาม

الغفور (อัลเฆาะฟูรฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ปกปิดความผิดบาปของผู้กระทำบาป
และพระองค์ไม่ประจานเขา และไม่ลงโทษเขา

الغفار (อัลฆอฟฟาร)
คือ พระนามที่ชี้ถึงความมากมายซึ่งการอภัยโทษของอัลลอฮฺที่มีต่อบ่าวของพระองค์ที่กระทำผิดและขอการอภัยโทษ

الرؤوف (อัรเราะอูฟ)
คือ มาจากคำว่า
الرأفة
อัรเราะอ์ฟะฮฺ หมายถึง ความเมตตากรุณาอย่างล้นหลาม
และความเมตากรุณาอย่างถึงที่สุด และมันครอบคลุมสิ่งที่ถูกสร้างทุกอย่างในดุนยาและเฉพาะกับบางคนในหมู่พวกเขา ในอาคิเราะฮฺ นั่นคือบรรดาผู้ศรัทธาอันเป็นที่รักของพระองค์

اﻟﺤليم (อัลหะลีม)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ไม่รีบเร่งในการลงโทษต่อบ่าว ทั้งๆที่พระองค์นั้นมี
ความสามารถที่จะลงโทษพวกเขา แต่ทว่าพระองค์ทรงยกโทษให้แก่พวกเขา และอภัยโทษให้แก่พวกเขาเมื่อพวกเขาขอการอภัยโทษต่อพระองค์

التواب (อัตเตาวาบ)
คือ พระองค์เป็นผู้ทรงชี้ทางการกลับเนื้อกลับตัวให้แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์จากหมู่บ่าวของพระองค์ และทรงตอบรับการกลับเนื้อกลับตัวจากพวกเขา

السِّتِّﻴﺮ (อัสสิตตีร)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ปกปิดบ่าวของพระองค์ ดังนั้นพระองค์จะไม่ประจานความผิดของเขาต่อหน้ามัคลูกทั้งหลายของพระองค์ และพระองค์คือผู้ที่ชอบให้บ่าวปกปิดความผิดของตัวของเขาเองและความผิดของคน อื่นๆ และปกปิดอวัยวะพึงสงวนของเขาเช่นเดียวกันด้วย

الغﻨﻲ (อัลเฆาะนีย์)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ไม่ต้องพึ่งใครจากสิ่งถูกสร้างทั้งหลายโดยเด็ดขาด เพราะความสมบูรณ์แบบของพระองค์อันเป็นที่สุดแล้วและด้วยคุณลักษณะที่สมบูรณ์ ทั้งหลายของพระองค์ และสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายต่างก็ต้องการพึ่งพระองค์ และมีความต้องการที่จะพึ่งต่อความโปรดปรานของพระองค์และความช่วยเหลือของ พระองค์

الكريم (อัลกะรีม)
คือ ผู้ที่ทรงมีความดีและการประทานให้อย่างมากมายมหาศาล พระองค์ทรงให้สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์แก่บุคคลที่พระองค์ทรงประสงค์และด้วย วิธีการตามที่พระองค์ทรงประสงค์ไม่ว่ากับบุคคลที่วอนขอหรือบุคคลที่ไม่วอนขอ และทรงอภัยโทษต่อความผิดบาปทั้งหลาย
และปกปิดข้อตำหนิทั้งหลาย

الأكرم (อัลอักร็อม)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่บรรลุสุดยอดแห่งความกรุณา ไม่มีผู้ใดที่เสมอเหมือนพระองค์ในเรื่องดังกล่าวนั้นโดยเด็ดขาด ดังนั้นความดีทั้งหลายมาจากพระองค์ และพระองค์ให้รางวัลต่อบรรดามุอ์มินีนผู้ศรัทธาด้วยกับความประเสริฐของ พระองค์และพระองค์ประวิงเวลาให้กับบรรดาผู้ที่ฝ่าฝืนและคิดบัญชีพวกเขาด้วย ความเป็นธรรมของพระองค์

الوهاب (อัลวะฮฺฮาบ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มากด้วยการให้ปัจจัยและคุณค่าต่างๆ โดยไม่หวังการตอบแทนชดเชย และทรงให้โดยไม่ได้มุ่งหวังเป้าหมายใดๆ และทรงให้ความโปรดปรานโดยไม่ต้องขอ

اﻟﺠواد (อัลญะวาด)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มากด้วยการให้ของขวัญและความโปรดปรานต่อมัคลูกสิ่งถูก สร้างทั้งหลาย และต่อบรรดามุอ์มินีนผู้ศรัทธาต่อพระองค์ด้วยความเอื้ออารีและความประเสริฐ ของพระองค์ด้วยการให้ในส่วนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

الودود(อัลวะดูด)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่รักบรรดาวะลีย์ผู้ใกล้ชิดอันเป็นที่รักของพระองค์
และแสดงความรักต่อพวกเขาด้วยการอภัยโทษให้และด้วยการให้ความโปรดปราน
ดังนั้นพระองค์จะทรงพอใจต่อพวกเขา และตอบรับการงานทั้งหลายของพวกเขา และทรงทำให้มีการยอมรับพวกเขาในแผ่นดินนี้

اﻟﻤعطي (อัลมุอฺฏีย์)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ให้แก่บุคคลที่พระองค์ประสงค์จากสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลาย ของพระองค์ ซึ่งสิ่งที่พระองค์ต้องการจากบรรดาคลังของพระองค์ และสำหรับบรรดาวะลีย์ผู้ใกล้ชิดพระองค์นั้นจะได้รับส่วนที่เต็มเปี่ยมจากการ ประทานของพระองค์และพระองค์เป็นผู้ทรงมอบการสร้างสรรค์และรูปร่างแก่มัคลูก สิ่งถูกสร้างทั้งหมดของพระองค์

الواسع (อัลวาสิอฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มีคุณลัษณะต่างๆ ที่กว้างขวาง ดังนั้นไม่มีคนหนึ่งคนใดสามารถจะนับการสรรเสริญต่อพระองค์ให้ครบได้ และเป็นผู้ที่กว้างขวางในการปกครองและอำนาจ และกว้างขวางในการอภัยโทษและเมตตา และมีความประเสริฐและมีความดีงามอันกว้างขวาง

اﻟﻤحسن (อัลมุหฺสิน)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มีความดีงามที่สมบูรณ์ในตัวของพระองค์เอง
และในพระนามต่างๆของพระองค์ และในคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ และในการกระทำต่างๆ ของพระองค์และพระองค์คือผู้ที่ทรงสร้างทุกๆ สิ่ง อย่างดียิ่ง และพระองค์เป็นผู้ทรงทำดีต่อมัคลูกสิ่งถูกสร้างทั้งหมดขอพระองค์

الرازق (อัรฺรอซิก)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ให้ปัจจัยยังชีพแก่สิ่งถูกสร้างทั้งหลาย และกำหนดปัจจัยยังชีพต่างๆ ของพวกเขาก่อนการสร้างจักรวาล และรับประกันจะทรงให้อย่างครบสมบูรณ์ตามจำนวนของมัน แม้ว่าเวลาจะยาวนานแค่ไหนก็ตาม

الرزاق (อัรฺรอซซากฺ)
คือ พระนามที่ชี้ถึงพระองค์ผู้ทรงให้ปัจจัยยังชีพอย่างมากมายแก่สรรพสิ่งทั้ง หลายดังนั้นพระองค์คือผู้ซึ่งให้ปัจจัยยังชีพแก่พวกเขาก่อนที่พวกเขาจะ วิงวอนขอต่อพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกเขากระทำสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนต่อพระองค์ พระองค์ก็ยังประทานปัจจัยยังชีพให้แก่พวกเขา

اللطيف (อัลละฏีฟ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่รอบรู้ยิ่งต่อทุกๆ ความละเอียดอ่อนของกิจการงานทั้งหลายดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นต่อ พระองค์ได้ และพระองค์ทรงนำพาสิ่งที่ดีและคุณประโยชน์แก่บ่าวของพระองค์แบบลับๆ โดยที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลย

اﻟﺨبﻴﺮ (อัลเคาะบีร)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มีความรอบรู้ครอบคลุมและห้อมล้อมทุกสิ่งที่เป็นความลับปก ปิดและสิ่งที่ซ่อนเร้นทั้งหลาย เช่นเดียวกับที่ได้ครอบคลุมทุกสิ่งที่เปิดเผยทั้งหลาย

الفتاح (อัลฟัตตาหฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่เปิดขุมคลังแห่งการครองครอง ความเมตตา ริซกีและปัจจัยยังชีพต่างๆ ของพระองค์ตามที่ทรงประสงค์บนพื้นฐานของวิทย
ปรีชาญาณและความรอบรู้ของพระองค์

العليم (อัลอะลีม)
คือ พระองค์เป็นผู้ทรงมีความรอบรู้ที่ครอบคลุมสิ่งที่เปิดเผยและสิ่งที่ซ่อนเร้น ทั้งหลาย สิ่งที่ปกปิดและสิ่งที่ชัดแจ้ง อดีตที่ผ่านมา ปัจจุบัน และอนาคต ดังนั้นไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะซ่อนเร้นจากพระองค์ ได้

الﺒَﺮُّ (อัลบัรฺ)
คือ พระองค์ เป็นผู้ที่กว้างขวาง ในการทำดีของพระองค์ที่มีต่อมัคลูกสิ่งถูกสร้าง
ทั้งปวงของพระองค์ พระองค์ให้โดยที่ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดสามารถคิด
คำนวนความโปรดปรานของพระองค์หรือนับมันให้ครบถ้วนได้
และพระองค์ คือ ผู้สัจจริงในสัญญาของพระองค์ ซึ่งพระองค์จะอภัยโทษให้แก่บ่าว
ของพระองค์ ช่วยเหลือเขา และดูแลปกป้องเขา และพระองค์จะทรงตอบรับการงานที่น้อยนิดจากเขา แล้วพระองค์จะทรงทำให้มันเพิ่มพูนอย่างมากมายแก่เขา

اﻟﺤكيم (อัลหะกีม)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ทรงจัดวางทุกสิ่งทุกอย่างในที่ที่สมควรอยู่ และเหมาะสมที่สุด สำหรับมัน และการจัดการบริหารของพระองค์นั้นไม่มีข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดใดๆ ทั้งสิ้น

اﻟﺤكم (อัลหะกัม)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ตัดสินชี้ขาดระหว่างสิ่งที่ถูกสร้างทั้งหลายด้วยความเป็น ธรรมดังนั้นพระองค์ไม่อธรรมต่อผู้หนึ่งผู้ใดจากหมู่พวกเขา และพระองค์ได้ประทานคัมภีร์อันทรงเกียรติของพระองค์มาเพื่อเป็นข้อชี้ขาดตัดสินระหว่างมนุษย์ทั้งปวง


الشاكر (อัชชากิรฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ทรงยกย่องผู้ที่เคารพภักดีต่อพระองค์และให้การสรรเสริญแก่เขา และเป็นผู้ตอบแทนความดีต่อการงานหนึ่งถึงแม้ว่าเป็นงานที่ น้อยนิดก็ตาม และตอบรับการขอบคุณของบ่าวต่อความโปรดปรานทั้งหลายของพระองค์ด้วยการเพิ่ม พูนมันในโลกดุนยา และให้รางวัลตอบแทนในอาคิเราะฮฺ

الشكور (อัชชะกูรฺ)
คือ งานที่น้อยนิดของบ่าวจะเพิ่มขึ้น ณ ที่พระองค์ และจะทรงทวีคูณผลตอบแทนให้สำหรับพวกเขา ดังนั้นการขอบคุณของพระองค์ต่อบ่าวนั้น ก็คือการที่ทรงทำให้เขายืนหยัดอย่างมั่นคงด้วยการขอบคุณต่อพระองค์สม่ำเสมอ และการตอบรับการทำความดีของเขา

اﻟﺠميل (อัลญะมีล)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มีความงดงามในตัวของพระองค์เอง และในพระนามต่างๆ ของพระองค์ และคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ และการกระทำต่างๆ ของพระองค์ เป็นความงดงามอย่างแท้จริงโดยสัมบูรณ์ และความงดงามทุกอย่างในสิ่งถูกสร้างทั้งปวงของพระองค์นั้นล้วนมาจากพระองค์

اﻟﻤجيد (อัลมะญีด)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์ ความใจบุญ ความเกรียงไกร
และความสูงส่ง ในชั้นฟ้าทั้งหลายและผืนแผ่นดิน

الولى (อัลวะลีย์)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ดำเนินการบริหารการงานของมัคลูกสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ และทรงจัดการบริหารอำนาจของพระองค์ และพระองค์คือผู้ให้การสนับสนุน ให้การช่วยเหลือต่อบรรดาผู้ใกล้ชิดของพระองค์

اﻟﺤميد (อัลหะมีด)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ได้รับการสรรเสริญต่อพระนามต่างๆ ของพระองค์ และคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์ และการกระทำต่างๆ ของพระองค์ และพระองค์คือผู้ที่ถูกสรรเสริญทั้งในยามสุขสบายและในยามเดือดร้อน และทั้งในยามเคราะห์ร้ายและในยามผาสุก และพระองค์เป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญและการยกย่องอย่างแท้จริง เพราะแท้จริงพระองค์นั้นเป็นผู้ทรงยิ่งด้วยคุณลักษณะที่สมบูรณ์ทุกประการ

المولى (อัลเมาลา)
คือ พระองค์เป็นผู้อภิบาล เป็นผู้ครอบครอง เป็นผู้ปกครอง และเป็นผู้คอยให้การสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือต่อบรรดาวะลีย์ผู้ใกล้ชิด ของพระองค์

النصير (อันนะศีรฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้คอยให้การสนับสนุนด้วยการช่วยเหลือของพระองค์แก่บุคคลที่ พระองค์ประสงค์ ดังนั้นสำหรับผู้ที่พระองค์ให้ความช่วยเหลือเขาจะไม่ได้รับความพ่ายแพ้ และสำหรับผู้ที่พระองค์ทอดทิ้งเขาก็จะไม่
ได้รับชัยชนะ

السميع (อัสสะมีอฺ)
คือ พระองค์คือผู้ที่การได้ยินของพระองค์นั้นห้อมล้อมครอบคลุมความเร้นลับและ ความลับทุกๆ อย่าง และต่อสิ่งที่เปิดเผยและชัดเจนทั้งปวง
ทว่าทรงครอบคลุมต่อทุกเสียงทั้งปวงแม้ว่ามันจะละเอียดหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม และพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ตอบรับบุคคลที่วิงวอนขอต่อ
พระองค์

البصير (อัลบะศีรฺ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่การมองเห็นของพระองค์นั้นห้อมล้อมครอบคลุมต่อสิ่งที่มี อยู่ทั้งปวงในโลกแห่งความเร้นลับและโลกแห่งความเปิดเผย แม้ว่ามันจะซ่อนเร้นหรือเปิดเผยเพียงใดก็ตาม และแม้ว่าจะละเอียดอ่อนหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตาม

الشهيد (อัชชะฮีด)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่คอยสอดส่องดูแลสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ และทรงเป็นสักขีเหนือพระองค์เองว่าทรงมีคุณลักษณะแห่งความเป็นเอกะและธำรง อยู่ด้วยความยุติธรรม และทรงเป็นพยานแก่บรรดามุอ์มินีน บรรดาศรัทธาชนทั้งหลาย เมื่อพวกเขาให้ความเป็นเอกภาพต่อพระองค์ และทรงเป็นพยานแก่บรรดาศาสนทูตของพระองค์และบรรดามะลาอิกะฮฺ
ของพระองค์

الرقيب (อัรเราะกีบ)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่ทรงสอดส่องสิ่งถูกสร้างทั้งหลายของพระองค์ และเป็นผู้คำนวนการงานทั้งหลายของพวกเขา ดังนั้น แม้การกระพริบตาเดียวหรือการคาดคิดเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก็จะไม่เล็ดลอดไป จากพระองค์ได้

الرفيق(อัรเราะฟีก)
คือ พระองค์เป็นผู้ที่มากด้วยการอ่อนโยนในการกระทำต่างๆ ของพระองค์ ดังนั้นพระองค์คือผู้ทรงประณีตและทรงทำเป็นลำดับขั้นตอนในการสรรค์สร้างและ การออกคำสั่งบัญชาใช้ของพระองค์ และทรงจัดการกับบ่าวของพระองค์ด้วยความอ่อนโยนและความนิ่มนวล และไม่บังคับพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถ และทรงรักบ่าวของพระองค์ที่มีความอ่อนโยน

พระนามของอัลลอฮฺ

การรู้จักพระนามของอัลลอฮฺ คือ การศรัทธาในการเตาฮีด อัลอัสมาอฺ วัศศิฟาต

ความสำคัญของการรู้จักพระนามของอัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลา

อะไรคือประโยชน์ ของการรู้จักพระนามต่างๆ ของพระองค์อัลลอฮฺ
และคุณลักษณะต่างๆของพระองค์ ?

แท้จริง สิ่งแรกของบทบัญญัติที่อัลลอฮฺทรงบัญญัติเหนือบ่าวของพระองค์นั้นก็คือการต้องรู้จักพร
ะองค์

ดังนั้นในเมื่อมนุษย์รู้จักพระองค์แล้วพวกเขาก็จะเคารพภักดีต่อพระองค์ด้วยการเคารพภักดีที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

ดังคำดำรัสของพระองค์ ว่า:

فَاعْلَمْ أَنَّهُ لَا إِلَٰهَ إِلَّا اللَّهُ وَاسْتَغْفِرْ لِذَنبِكَ


ความว่า: "ดังนั้น พึงรู้เถิดว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด (ที่ถูกกราบไหว้โดยเที่ยง
แท้) นอกจากอัลลอฮฺ และจงขออภัยโทษต่อความผิดของตัวเจ้า"
(ซูเราะฮฺ มุหัมมัด:19)

ดังนั้น การรำลึกถึงอัลลอฮฺต่อความเมตตาอันกว้างขวางของพระองค์นั้นจะนำไปสู่การหวังในความเมตตาของพระองค์

และการรำลึกถึงอัลลอฮฺ ต่อการลงโทษอันรุนแรงของพระองค์นั้นนำไปสู่ภาวะการของการยำเกรงต่อพระองค์

และการรำลึกถึงอัลลอฮฺต่อความเป็นเอกะหนึ่งเดียวในการประทานให้ของ พระองค์จะนำไปสู่การขอบคุณต่อพระองค์

และความหมายที่ว่าต้องเคารพอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺด้วยกับพระนามและคุณลักษณะต่างๆของพระองค์นั้นก็ คือ:
การค้นหาความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระนามของพระองค์ และมีความเข้าใจในความหมายต่างๆของพระนามนั้น

และปฏิบัติตามนัยต่างๆ ของมันอย่างถูกต้อง

ดังนั้น ในจำนวนพระนามและคุณลักษณะต่างๆ
ของอัลลอฮฺนั้น มีบางประเภทที่บ่าวจะได้รับการยกย่อง
ถ้าหากเขามีคุณลักษณะเช่นเดียวกับมัน เช่น
คุณลักษณะของความรู้ ความเมตตา และความยุติธรรม

และอีกส่วนหนึ่งของพระนามและคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์นั้น
ถ้าบ่าวอาจเอื้อมจะเลียนแบบพระองค์ เขาก็จะได้รับการตำหนิ และถูกพิโรธ
เช่น ลักษณะความเป็นพระเจ้า ที่ถูกเคารพ สักการะ ความทรนง และความยิ่งใหญ่

และ สำหรับบ่าวนั้นมีคุณลักษณะต่างๆ ที่ถูกสรรเสริญและถูกสั่งใช้ให้เขา
มีคุณลักษณะเช่นนั้นในตัวเขา เช่น ลักษณะการเป็นบ่าว การพึ่งพิง
การนอบน้อมด้วย ความต่ำต้อย การวอนขอ
และอื่นๆ เป็นต้น

แต่ห้ามใช้ประการต่างๆ เหล่านี้อธิบายถึงคุณลักษณะของพระองค์

และผู้ที่เป็นที่รักยิ่ง ณ ที่พระองค์อัลลอฮฺนั้น คือผู้ที่มีคุณลักษณะต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงรักมัน........
และบ่าวที่ถูกกริ้วที่สุด ณ ที่พระองค์อัลลอฮฺ คือผู้มีคุณลักษณะต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงรังเกียจมัน.......

พระนามต่างๆ ที่งดงามของอัลลอฮฺ คือ อะไร ?

พระองค์อัลลอฮฺ ได้ตรัสไว้ว่า:

وَلِلَّهِ الْأَسْمَاءُ الْحُسْنَىٰ فَادْعُوهُ بِهَا وَذَرُوا الَّذِينَ يُلْحِدُونَ فِي أَسْمَائِهِ سَيُجْزَوْنَ مَا كَانُوا يَعْمَلُونَ

ความว่า: "และอัลลอฮฺนั้นมีบรรดาพระนามอันสวยงาม ดังนั้นพวกเจ้าจง
เรียกหา(วิงวอนขอความช่วยเหลือ)พระองค์ด้วยพระนามเหล่านั้นเถิด" (อัล-อะอฺรอฟ 180)

และโดยแน่แท้ ได้รับการยืนยันจากท่านรอซูลุลลอฮฺ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวไว้ว่า:

إ نَّ لِلَّهَ تِسْعَةً وَتِسْعِﻴﻦَ اسْمًا مِائَةً إِ لَّا وَاحِدًا، مَنْ حْصَاهَا،أ دَخَلَ الْجَنَّةَ

ความว่า: "แท้จริงอัลลอฮฺนั้นมีเก้าสิบเก้าพระนาม คือหนึ่งร้อยเว้นแต่
หนึ่งเท่านั้น ใครก็ตามนับมันครบเขาจะได้เข้าสวรรค์"
(มุตตะฟะกุน อะลัยฮฺ)

และการนับมันก็คือ

1) การนับถ้อยคำต่างๆ ของมันและจำนวนของมัน

2) เข้าใจความหมายของมัน รวมถึงข้อบ่งชี้ของมันและศรัทธาต่อมัน
ดังนั้น เมื่อบ่าวกล่าวเอ่ยถึง พระนาม อัล-หะกีม ( اﻟﺤكيم ) ซึ่งมีความหมายว่า
พระองค์นั้นทรงปรีชาญาณ เขาก็ต้องยอมจำนนต่อคำสั่งใช้ทั้งหมด ของอัลลอฮฺ
เพราะแท้จริงคำสั่งใช้ทั้งหมดของพระองค์นั้นเป็นไปตามเหตุผลอันปรีชาของ พระองค์

และเมื่อเขาเอ่ยพระนาม อัล-กุดดูส ( القدوس ) ซึ่งมีความหมายว่าพระองค์นั้นทรงบริสุทธิ์
เขาจะระลึกได้ว่าพระองค์อัลลอฮฺนั้น
เป็นผู้ที่บริสุทธิ์จากความบกพร่องและความไม่สมบูรณ์ทั้งปวง

3)การวิงวอนขอต่อพระองค์อัลลอฮฺด้วยพระนามต่างๆเหล่านั้นมี 2 ชนิด:

ก) ดุอาอ์ในรูปของการสรรเสริญและอิบาดะฮฺ

ข) ดุอาอ์ในรูปของการวิงวอนและร้องขอ

และใครก็ตามที่ได้ติดตาม 6 โองการต่างๆ ในอัลกุรอาน
และติดตามจากสุนนะฮฺที่ถูกต้อง เขาก็จะสามารถที่จะรวมรวมพระนาม
ต่างๆของพระองค์อัลลอฮฺ ได้ดังนี้:
(....To Be Continued....)

ทำไมถึงชื่ออิสลาม?

ทำไม ถึงเรียก ศาสนาอิสลาม ด้วยกับ อัล-อิสลาม..?

เพราะว่า ผู้ใด ที่เข้าไปในมัน(รับอิสลาม) เขาได้มอบใบหน้าของเขา
ให้แก่อัลลอฮฺแล้ว และ ยอมสวามิภักดิ์ และ ปฏิบัติตาม
กับทุกสิ่งที่มาจากอัลลอฮฺและจาก ท่านรอซูลุลลอฮฺ
ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม จาก อะห์กาม(ข้อกำหนด)ต่างๆ

อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า

"และใครเล่าที่จะไม่พึงปรารถนาในแนวทางของอิบรอฮีม
นอกจากผู้ที่ทำให้ตัวเองโฉดเขลาเท่านั้น
และแท้จริงนั้น เราได้คัดเลือกเขา(ให้เป็นนะบี และร่อซูล) ในโลกนี้
และแท้จริงในปรโลกนั้น เขาจะอยู่ในหมู่คนดีๆ อย่างแน่นอน

จงรำลึกถึงขณะที่พระเจ้าของเขาได้กล่าวแก่เขาว่า เจ้าจงสวามิภักดิ์เถิดเขากล่าวว่า
ข้าพระองค์ได้สวามิภักดิ์แด่พระเจ้าแห่งสากลโลกแล้ว"
(อัลบะกอเราะฮฺ / 130-131)

และได้ทรงตรัสไว้ว่า
"ผู้ใดที่มอบใบหน้าของเขา ให้แก่อัลลอฮ์ และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทำความดีแล้วไซร้ เขาจะได้รับรางวัลของเขา ณ ที่พระเจ้าของเขา "
(อัลบะกอเราะฮฺ/112)

-ฟัตวา
คณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการ การฟัตวา ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย-
แปลโดย Alif Taopalee
www.facebook.com/ALIFZA

สิ่งต่างๆที่ทำให้เสียเตาฮีด

จากสิ่งต่างๆที่ทำให้เสีย การเตาฮีด(การให้เอกภาพแด่อัลลอฮฺ)

-อัชชิรกุลอักบัร (ชิริกใหญ่) [ชิริก = การตั้งภาพคีต่ออัลลอฮฺ]

คือ การหันไปหาสิ่งหนึ่งสิ่งใด จาก รูปแบบต่างๆของ การทำอิบาดะฮฺ
(การสักการะ กราบไหว้)สิ่งอื่น นอกจากอัลลอฮฺ
และประเภทของมันมี 4 ประเภท

1.การตั้งภาคี ทางการขออุอาอฺ และ การขอความช่วยเหลือ

2.การตั้งภาคี ทางเจตนา และ ความต้องการ และ ความมุ่งหมาย

3.การตั้งภาคี ทางการเชื่อฟัง : คือ การเชื่อฟัง บรรดาอุละมาอฺ
ในการห้าม สิ่งที่ อัลลลอฮฺทรงอณุญาติ หรือ การอณุญาติ ในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้าม

4. การตั้งภาคี ทางความรัก ด้วยกับการที่เขารัก สิ่งหนึ่งสิ่งใด เสมอ
เหมือน กับ ที่เขาให้ความรัก แด่อัลลอฮฺ

อัลลอฮฺตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า

"และในหมู่มนุษย์นั้น มีผู้ที่ยึดถือบรรดาภาคี อื่นจากอัลลอฮ์ ซึ่งพวกเขารักภาคีเหล่านั้นเช่นเดียวกับรักอัลลอฮ์" (อัลบะกอเราะฮฺ:165)

-อัชชิรกุลอัศฆอร (ชิริกเล็ก)
คือ การใช้สื่อ ไปยังการทำชิริกใหญ่
เช่น การแสดงความโอ้อวด(ริยาอฺ) ,การสาบานด้วยสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮฺ , และการเชื่อถือโชคลาง และการทำนาย
แปลโดย Alif Taopalee
www.facebook.com/ALIFZA

วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

เงื่อนไขของการกล่าว "ลาอิลาฮ่าอิ้ลลั้ลลอฮฺ"


เงื่อนไขของการกล่าว
"ลาอิลาฮ่าอิ้ลลั้ลลอฮฺ" (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ)

คำถาม:อะไรคือ เงื่อนไขของการกล่าว"ลาอิลาฮ่าอิ้ลลั้ลลอฮฺ"...?
เพียงพอหรือไม่ กับการเอ่ยเป็นคำพูดเท่านั้นโดยไม่เข้าใจความหมายของมัน
และอะไรคือผลที่ตามมาบนมัน?

ตอบ:"ลาอิลาฮ่าอิ้ลลั้ลลอฮฺ" คือ คำพูดที่ประเสริฐ และเป็นรากฐานและพื้นฐาน ของศาสนา
และบรรดารอซูล อะลัยฮิศศอลาตุวัสลาม
เป็นผู้ริเริ่มมันต่อบรรดากลุ่มชนของพวกเขา ดังนั้น สิ่งแรกที่รอซูลได้เริ่มแก่กลุ่มชนของเขา คือ เขาได้กล่าวว่า
"พวกท่านจงกล่าว ลาอิลาฮ่าอิ้ลลั้ลลอฮฺ แล้วพวกท่านจะได้รับชัยชนะ"

อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า

"และเรามิได้ส่งรอซูลคนใดก่อนหน้าเจ้านอกจากเราได้วะฮีแก่เขาว่า แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้า”
(อัลอัมบิยาอฺ-25)

และบรรดารอซูลทุกท่านได้กล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า
"จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิดไม่มีผู้ได้รับการเคารพสักการะใด ๆ สำหรับพวกท่านอีกแล้วอื่นจากพระองค์ "(อัลอะอฺรอฟ-69)
ดังนั้น มันคือ รากฐานของ ความเชื่อมั่น และ ศาสนา

และจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงคำกล่าวของมัน และ ความหมายของมัน
คือ หมายถึง แท้จริง เขานั้น จะไม่กราบไหว้อย่างแท้จริง เว้นแต่อัลลอฮฺ

และเงื่อนไข สำหรับมัน คือ การรู้ถึงความหมายของมัน ,และ เชื่อมั่น และ ไม่สงสัย
ในความถูกต้องของมัน และ มีความบริสุทธิ์ใจ เพื่ออัลลอฮฺ ในสิ่งดังกล่าว
ให้พระองค์เป็นเพียงหนึ่งเดียว ,และ เชื่อมั่น ด้วยกับ หัวใจของเขา และ ลิ้นของเขา,และ
ให้ความรัก ที่แสดงมันออกมาจากความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮฺ,และ ยอมรับ สิ่งดังกล่าว,และ
ยอมจำนนต่อพระองค์ และ ทำให้พระองค์ทรงเป็นเพียงหนึ่งเดียว,และ ละทิ้งการตั้งภาคี
ต่อพระองค์พร้อม ด้วยการบริสุทธิ์(ไม่เกี่ยวข้อง)จากการกราบไหว้อื่นนอกจากพระองค์
และการเชื่อมั่นความเท็จของมัน

และ ทั้งหมดนี้ คือ เงื่อนไขต่างๆ ของ การกล่าวคำว่า "ลาอิลาฮ่าอิ้ลลั้ลลอฮฺ และ ความหมายที่ถูกต้องของมัน"

ผู้ศรัทธาชาย และ ผู้ศรัทธาหญิง ได้กล่าวมัน พร้อมกับ ความบริสุทธิ์ จาก
การกราบไว้ อื่นจากอัลลอฮฺ และพร้อมกับ ยอมจำนนต่อสัจธรรม และยอมรับมัน
และ มีความรักต่ออัลลอฮฺ และ ทำให้พระองค์เป็นเพียงหนึ่งเดียว, และบริสุทธิ์ใจ ต่อพระองค์ และ ไม่สงสัย ในความหมายของมัน,

ดังนั้น หาก บางคน กล่าวมัน และ ไม่เป็นผู้ศรัทธาด้วยกับมัน ก็เสมือนกับ
บรรดามุนาฟิก(พวกหน้าไหว้หลังหลอก)ซึ่ง พวกเขากล่าวมัน
และ ณ ที่พวกเขา นั้น มีความสงสัย หรือ การโกหกหลอกลวง
ดังนั้น จำเป็น ต้องมี จากความรู้ และ ความแน่นอนใจ,และความจริงใจ และบริสุทธิ์ใจ , และความรัก และ การยอมจำนน และยอมรับ และ ความบริสุทธิ์

วะศอลลัลลอฮุ อะลา นบียี่นา มุฮัมมัด ว่าอะลาอาลิฮี วะเศาะฮฺบิฮี

เชค อับดุลอะซีซ บิน บาซ รอฮิมะฮุลลอฮฺ
แปลโดย Alif Taopalee
www.facebook.com/ALIFZA

ประเภทต่างๆของเตาฮีด

คำถาม : อะไรคือ ชนิดต่างๆ ของเตาฮีด พร้อมความหมายทั้งหมดของมัน...?

ตอบ : อัต-เตาฮีด มี 3 ประเภท : เตาฮีด อัรรุบูบียะฮฺ , เตาฮีด อัลอิลาฮียะฮฺ
และ เตาฮีด อัสมาอฺ วัศศิฟาต

1. เตาฮีด อัรรุบูบียะฮฺ : คือ การให้อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงเป็นเพียงหนึ่งเดียว ด้วยกับ
การสร้าง และ การประทานปัจจัยยังชีพ และ การให้มีชีวิต และการทำให้ดับสูญ
และเป็นผู้ดำเนินการ ทุกชนิดของ การเปลี่ยนแปลง และจัดวาง แผนการณ์ ต่างๆ
ทั่วทั้งบรรดาชั้นฟ้า และแผ่นดิน
และ ให้อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงเป็นเพียงหนึ่งเดียว ด้วยกับการ กำหนดตัดสิน
และ การวางบทบัญญัติ ด้วยการส่ง บรรดารอซูล และ ประทาน บรรดาคัมภีร์ต่างๆ ลงมา
ดังพระดำรัสของพระองค์ ที่ว่า

"พึงรู้เถิดว่า การสร้าง และ กิจการทั้งหลายนั้น เป็นสิทธิของพระองค์เท่านั้น
มหาบริสุทธิ์อัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก" (อัลอะอฺรอฟ:54)

2.เตาฮีด อัลอุลูฮียะฮฺ : คือ การให้อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงเป็นเพียงหนึ่งเดียว
ในการเคารพสักการะ ฉะนั้น ไม่มีการเคารพสักการะ สิ่งอื่นนอกจากพระองค์
และ ไม่มีการขอดุอาอฺใดๆเว้นแต่พระองค์ และ ไม่มีการขอความคุ้มครอง
และ การขอความช่วยเหลือใดๆเว้นแต่ ขอกับพระองค์
และไม่ทำการบนบาน หรือ เชือดสัตว์พลี และ เชือดตัดกระเดือกใดๆ
เว้นแต่เพื่อพระองค์
อัลลอฮฺ ตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า

จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า แท้จริงการละหมาดของฉัน และการอิบาดะฮ์ ของฉัน และการมีชีวิตของฉัน และการตายของฉันนั้นเพื่ออัลลอฮ์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งสากลโลกเท่านั้น

ไม่มีภาคีใด ๆ แก่พระองค์ และด้วยสิ่งนั้นแหละข้าพระองค์ถูกใช้ และข้าพระองค์คือคนแรกในหมู่ผู้สวามิภักดิ์ทั้งหลาย
(อัล-อันอาม - 162-163)

"ดังนั้นเจ้าจงละหมาดเพื่อพระเจ้าของเจ้าและจงเชือดสัตว์พลี"(อัล เกาษัร :2)

3.เตาฮีด อัสมาอฺ วัสสิฟาต : คือ การให้คุณลักษณะของอัลลอฮฺตะอาลา และเรียกพระนามของพระองค์ ด้วยกับ สิ่งที่พระองค์ทรงให้คุณลักษณะไว้ และ ถูกเรียกด้วยกับตัวพระองค์เอง
และ การให้คุณลักษณะของ พระองค์ และ การเรียกพระนามต่างๆของพระองค์
ของท่านรอซูลุลลอฮฺ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ใน บรรดาหะดีษศอหิห์ต่างๆ
และยืนยัน สิ่งดังกล่าว สำหรับพระองค์ โดยไม่ ทำให้คล้ายคลึง และทำให้เหมือน กับสิ่งใด และไม่ทำการตีความ และ ปฏิเสธ (คุณลักษณะต่างๆ
และบรรดาพระนามต่างๆนั้น)
"ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงเห็น" (อัช-ชูรอ :11)

คณะกรรมการถาวรเพื่อการวิจัยทางวิชาการ การฟัตวา ประเทศ ซาอุดิอาระเบีย
แปลโดย Alif Taopalee
www.facebook.com/ALIFZA

อัต-เตาฮีด คือ อะไร?

..........อัตเตาฮีด........(การให้เอกภาพแด่อัลลอฮฺ)

อัตเตาฮีด ความหมายของมันคือ การเตาฮีดต่ออัลลอฮฺ
หมายถึง การ เชื่อมั่นว่า แท้จริง พระองค์ คือ หนึ่งเดียว ไม่มีภาคีใดๆสำหรับพระองค์
และ จาก บรรดาอายะฮฺต่างๆ ที่บ่งถึง สิ่งดังกล่าว
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงตรัสไว้ว่า

และข้าไม่ได้สร้างญินและมนุษย์เพื่ออื่นใดเว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า
( อัซซาริยาต : 56 )

"และเรามิได้ส่งรอซูลคนใดก่อนหน้าเจ้านอกจากเราได้วะฮีแก่เขาว่า
แท้จริงไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าจงเคารพภักดีต่อข้า”
(อัลอัมบิยาอฺ-25)
และอีกมากมายหลายอายะฮฺในความหมายเดียวกันนี้

และจาก หะดีษต่างๆ จากมันคือ : สิ่งที่ถูกยืนยันไว้ใน ตำราศอหิ้หฺบุคอรีย์
จาก ท่าน อิบนุ อับบาส รอฏิยัลลอฮุตะอาลาอันฮุมา
แท้จริงท่าน นบีย์ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าว
แก่ ท่าน มุอ๊าซ รอฏิยัลลอฮูอันฮุ เมื่อท่านได้ส่งเขาไปยังเมื่อเยเมน ว่า
"จงเรียกร้องพวกเขา ไปยังการเตาฮีดต่ออัลลอฮฺ"ด้วยกับถ้อยคำนี้
บันทึกโดยบุคอรีย์ ในตำราศอหิ้หฺ และใน ตำราศอหิห์ของอิมามมุสลิม
จาก ฏอริก บิน อุชัยม์ อัลอัชญะอีย์ รอฏิยัลลอฮุอันฮุ
จากท่านนบีย์ ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แท้จริง ท่านได้กล่าวว่า
"ผู้ใดที่ให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ และปฏิเสธด้วยกับสิ่งที่เขากราบไหว้อื่นจากอัลลอฮฺ
ทรัพย์สินของเขา เลือดเนื้อของเขา เป็นที่ต้องห้าม
และ การคิดบัญชีของเขา อยู่ที่อัลลอฮฺ"

อธิบายคำพูดของเขา(ท่านนบียฺ)ที่ว่า وحد الله (ให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ)
นั้นบ่งถึงสิ่งดังกล่าว คือ แท้จริง มันคือ ความหมายของคำว่า
ลาอิลาฮ่าอิ้ลลั้ลลอฮฺ (ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่อัลลอฮฺ)
และจากสิ่งดังกล่าว คือสิ่งที่ถูกยืนยัน ในตำราศอหิห์มุสลิม
จาก ท่าน อิบนุ อุมัร รอฏิยัลลอฮุอันฮุมา :แท้จริงท่านนบีย์ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
ได้กล่าวไว้ว่า
"อิสลามนั้นถูกสร้างขึ้นจาก5ประการ บนการให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ"
....อัลหะดีษ....
และสิ่งดังกล่าว ได้อธิบาย สำหรับคำกล่าวของท่านนบีย์ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
ใน อีกรายงานหนึ่งว่า
"อัลอิสลาม ถูกสร้าง ขึ้นบน 5 ประการ คือ การปฏิญานว่า
แท้จริง ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเว้นแต่อัลลอฮฺ และ แท้จริง มุฮัมมัด คือ ศาสนฑูต
ของอัลลอฮฺ"...อัลหะดีษ...และมีหะดีษอีกมากมายในความหมายเดียวกันนี้

--- เชค อับดุลล อะซีซ บิน อับดุลลอฮฺ บิน บาซ --- รอฮิมะฮุลลอฮฺ

แปลโดย Alif Taopalee
www.facebook.com/ALIFZA

بسم الله الرحمن الرحيم - คำนำ


بسم الله الرحمن الرحيم

إن الحمد لله نحمده ونستعينه ونستغفره ونعود بالله من شرورأنفسنا ومن سيئات أعمالنا، من يهده الله فلا مضل له ومن يضلل فلا هادي له ، أشهد أن لا إله إلا الله وأشهد أن محمدا عبده ورسوله . اللهم صل وسلم وبارك على نبينا محمد وعلى آله وصحبه وسلم .أما بعد ، فإن أصدق الحديث كتابُ الله وخيرَ الهدي هديُ محمد صلى الله عليه وسلم ، وشرَالأمورمحدثاتُها وكلَّ محدثة بدعة وكلَّ بدعة ضلالة وكلَّ ضلالة فى النار. أيها المسلمون،أوصيكم وإياي بتقوى الله وطاعته والإعتصام بحبله لعلكم ترحمون

ข้าพเจ้าข
อเริ่มบล๊อค อิสลาม คำสอนแห่งสัจธรรม ด้วยกับ โองการอัลกุรอาน
ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวตะอาลาที่ทรงบอกถึงเป้าหมายของการสร้างมนุษย์ และ ญิน ที่ว่า

[ الذاريات/56] وما خلقت الجن والإنس إلا ليعبدون

ความว่า “และข้าไม่ได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใดเว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า”
( ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต : 56)
และขอชุโกร ขอบคุณ พระองค์ ที่ทรงเมตตาให้ข้าพเจ้าและผู้ที่กำลีงเข้าชมบล๊อค
ของข้าพเจ้า ได้มีลมหายใจอยู่ถึงตอนนี้
เพื่อทำอิบาดะฮฺต่อพระองค์ จนกว่าจะถึงลมหายใจสุดท้าย

ท่านนบีย์มุฮำมัด รอซูลุลลอฮฺ ศอลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ได้
กล่าวไว้ว่า

" خير الناس من طال عمره وحسن عمله وشر الناس من طال عمره وساء عمله "
( رواه الترمذى)
ความว่า “มนุษย์ที่ดีที่สุด คือ คนที่อัลลอฮ์ทรงให้อายุของเขายืน ยาว
และเขาได้ปฏิบัติ(อะมัล)การงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
และมนุษย์ที่ชั่วที่สุดคือ คนที่อัลลอฮ์ทรงให้อายุของเขายืนยาว
และเขาได้ใช้อายุของเขา ด้วยการปฏิบัติการงานที่ชั่วช้าเสมอ
(รายงานโดยติรมีซีย์)

ข้าพเจ้าหวังว่า บล๊อคนี้ จะได้มอบความรู้เพื่อเป็นการตักเตือนแก่ตัวข้าพเจ้า
และท่านทั้งหลาย และให้เกิดความอีมานในยึดมั่นอยู่บนความตักวา
ยำเกรงต่อพระองค์อัลลอฮฺ ซุบฮานฮูวะตะอาลา และทำให้มีมุ่งมั่นในการอิบาดะฮฺต่อพระองค์
ด้วยการถ่ายทอดและนำเสนอความรู้
ตามแนวทางของสะละฟุศศอลิห์ ตามจุดประสงค์ของข้าพเจ้า

หากบล๊อคนี้เป็นความดีสำหรับพี่น้องทุกท่าน แท้จริงแล้วอัลลอฮฺทรงเป็นผู้ประทานให้ข้าพเจ้า
หากในมันนั้นมีความผิดพลาดประการใด แท้จริงแล้วมันมาจากความผิดพลาดของตัวข้าพเจ้าและความเขลาของข้าพเจ้า และขอรับความผิดบาปนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
ขอพระองค์ทรงโปรดอภัยให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด

และขออุทิศผลบุญของความดีในการเผยแพร่นี้ให้แก่ทุกคนในครอบครัวของข้าพเจ้า
และขอพระองค์ทรางคุ้มครองครอบครัวของข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งปวง
และขอพระองค์ทรงนำทางข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้าสู่ทางอันเที่ยงตรง

والحمد لله رب العالمين ، وصلى الله وسلم على نبينا محمد وعلى آله وصحبه أجمعين
Alif Taopalee
หากพบข้อผิดพลาด ติดต่อ ได้ที่ www.facebook.com/ALIFZA